ผู้เขียน หัวข้อ: แนะนำ หนังสือ" เพื่อรอยยิ้ม เมื่อสิ้นลม"ประสบการณ์ช่วยผู้เหลือผู้ป่วยระยะสุดท้าย  (อ่าน 3392 ครั้ง)


ยาใจ

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14208
    • ดูรายละเอียด
* คำนำจาก พระไพศาล วิสาโล *

Posted on March 18, 2012 by admin เมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ข้าพเจ้าอดไม่ได้ที่จะนึกถึง “หลายชีวิต”ของม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ทั้งนี้เพราะผู้คนที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้ล้วนมีบุคลิก นิสัย สถานภาพ และภูมิหลังที่แตกต่างกันมาก บ้างร่ำรวยเหลือล้น บ้างยากจนเข็ญใจ บางคนรุ่งโรจน์ แต่บางคนตกอับ บ้างก็สมหวังในชีวิต ขณะที่บางคนกลับอับโชค แต่แล้วในที่สุดทุกคนก็เดินทางมาสู่จุดสุดท้ายในสถานที่เดียวกัน เป็นแต่ต่างกรรมต่างวาระ หาได้พบจุดจบในเหตุการณ์เดียวกันอย่างนวนิยายเล่มดังกล่าวไม่

หลายชีวิตในนิยายเล่มนั้นเป็นเรื่องแต่ง แต่หลายชีวิตในหนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องจริง เขาเหล่านั้นครั้งหนึ่งเคยมีเลือดเนื้อและลมหายใจเหมือนกับเรา และอาจเคยเดินสวนกับเราตามสถานที่ต่าง ๆ ด้วยซ้ำ แต่บัดนี้ได้ล่วงหน้าไปสู่ความตายแล้ว โดยที่เราทุกคนก็จะต้องเดินตามเขาไปไม่ช้าก็เร็ว ไม่มีใครในโลกนี้หนีความตายพ้น จะว่าไปแล้วนี้คือความเป็นธรรมที่ทุกคนได้รับจากธรรมชาติเสมอเหมือนกันหมด

เส้นทางชีวิตของผู้คนในหนังสือเล่มนี้คงไม่ต่างจากเรื่องราวของคนทั่วไปที่เกิดมาแล้วก็มักตายด้วยความทุกข์ทรมาน หากมิใช่เป็นเพราะว่าคนเหล่านี้ได้พบกับพยาบาลผู้มีน้ำใจงามในวาระสุดท้ายของชีวิต คนส่วนใหญ่นั้นเมื่อความตายมาประชิดตัว ย่อมทุรนทุราย พยายามต่อสู้ขัดขืนความตายอย่างสุดฤทธิ์สุดเดช น้อยคนนักที่จะเผชิญความตายอย่างสงบ แต่นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับหลายคนที่กล่าวถึงในหนังสือเล่มนี้ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะบุคคลผู้หนึ่งมีส่วนอย่างสำคัญ คือคุณกานดาวศรี ตุลาธรรมกิจ

คุณกานดาวศรี เป็นพยาบาลเล็ก ๆคนหนึ่งของโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ หาดใหญ่ แต่สิ่งที่ไม่ธรรมดาก็คือเธอเป็นคนที่มีน้ำใจต่อคนไข้ทุกคนที่เธอได้รู้จัก แม้บางคนไม่อยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบของเธอ แต่เธอก็พร้อมจะช่วยบรรเทาความทุกข์ของเขา ความที่เธอมีเมตตาและเปิดใจรับรู้ความทุกข์ของคนไข้ที่ได้พบ เธอจึงตระหนักว่าเขาเหล่านั้นมิได้มีแต่ความทุกข์กายเท่านั้น หากยังมักมีความทุกข์ใจโดยเฉพาะเมื่อวาระสุดท้ายใกล้มาถึง ดังนั้นเธอจึงไม่หยุดเพียงแค่การเยียวยาความทุกข์ทางกายของคนไข้เท่านั้น หากยังใส่ใจกับการเยียวยาความทุกข์ทางใจของคนไข้ด้วย ซึ่งมักถือกันว่ามิใช่หน้าที่ของพยาบาลหรือแพทย์ แต่ด้วยสำนึกในความเป็นมนุษย์ เธอจึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อช่วยให้คนไข้พบกับความสงบในจิตใจในวาระสุดท้ายของชีวิต แม้นั่นจะหมายถึงการเป็นสื่อกลางเพื่อให้คนไข้และคู่รักหรือบิดามารดาคืนดีกัน หรือแม้แต่ช่วยสะสางภารกิจบางอย่างของคนไข้ที่ยังคั่งค้างอยู่

จากประสบการณ์อันยาวนาน คุณกานดาวศรีตระหนักดีว่า สิ่งสำคัญที่ทำให้คนไข้จำนวนมากไม่สามารถตายอย่างสงบได้ ก็คือ ปมปัญหาในจิตใจ ซึ่งมักหนีไม่พ้นความวิตกกังวล และความรู้สึกค้างคาใจ ดังนั้นเธอจึงพยายามช่วยให้คนไข้เหล่านี้คลายจากความวิตกกังวล ทั้งที่เกี่ยวกับทรัพย์สิน คนรัก และงานการ รวมทั้งช่วยปลดเปลื้องสิ่งค้างคาใจ อาทิ ความรู้สึกผิด ความผูกใจเจ็บ หรือความโกรธแค้น ปัญหาเหล่านี้คนไข้ส่วนใหญ่ไม่อยากจะเปิดเผยให้คนนอกรับรู้ อีกทั้งเจ้าตัวอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันรบกวนจิตใจของเขามากมายเพียงใด แต่สัมพันธภาพที่คุณกานดาวศรีมีกับคนไข้และญาติเป็นกุญแจที่เปิดใจให้ปัญหาเหล่านี้พรั่งพรูออกมา และได้รับการแก้ไขจนคนไข้คลี่คลายในทางอารมณ์ ที่สำคัญไม่น้อยกว่ากันก็คือ การชวนให้เขานึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือหรือความดีงามที่ได้กระทำ ซึ่งช่วยให้เขาเกิดความอบอุ่นใจและภาคภูมิใจในชีวิตที่ผ่านมา เกิดความรู้สึกที่เป็นกุศลซึ่งทำให้สามารถตายอย่างสงบได้

แม้ว่าผู้ป่วยระยะสุดท้ายคือคนที่แพทย์หมดหวังจะรักษาให้มีชีวิตยืนยาวได้ แต่ก็มิพึงเข้าใจว่าเขาคือคนที่หมดหวังจะได้พบกับความสงบในวาระสุดท้ายของชีวิต หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวของคนที่แม้จะถูกโรคร้ายรุมเร้า ความเจ็บปวดคุกคาม แต่ก็สามารถเผชิญความตายได้อย่างสงบและอย่างกล้าหาญ บางคนพยายามต่อสู้กับความตายทุกวิถีทาง แต่ในที่สุดก็ยอมรับความจริงและจากไปโดยปราศจากอาการทุรนทุรายอย่างที่เคยมี ทั้งนี้เพราะเขามีคุณกานดาวศรีเป็นกัลยาณมิตรข้างเตียง

เรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างเงียบ ๆ มาเป็นเวลานานนับสิบปี และเป็นที่รับรู้เฉพาะในคนกลุ่มเล็ก ๆ จนเมื่อไม่กี่ปีมานี้เองที่คนนอกวงการพยาบาลได้รับรู้เรื่องราวของเธอมากขึ้น จากการบรรยายในงานสัมมนา การอบรม และจากหนังสือเรื่อง เยียวยาด้วยรัก ซึ่งเขียนโดยคุณกนกวรรณ กนกวนาวงศ์ และล่าสุดจากรายการโทรทัศน์ “คนค้นคน” แต่ไม่มีงานชิ้นใดที่ถ่ายทอดงานของเธอได้อย่างละเอียดลออเท่าหนังสือเล่มนี้ นอกจากการปูพื้นชีวิตของคุณกานดาวศรีตั้งแต่วัยเด็กแล้ว เพื่อรอยยิ้มก่อนสิ้นลม ยังได้สืบสาวไปถึงประสบการณ์ช่วงต้นในอาชีพพยาบาลของเธอ ก่อนที่จะก้าวมาสู่การทำงานกับผู้ป่วยระยะสุดท้ายอย่างเข้มข้นจนกระทั่งปัจจุบัน โดยอาศัยชีวิตของผู้ป่วยแต่ละคนเป็นตัวดำเนินเรื่อง

คุณสง่า ลือชาพัฒนาพร ได้ใช้ความวิริยะอุตสาหะอย่างมากในการสืบค้นและติดตามเรื่องราวของคุณกานดาวศรี ทั้งจากการสัมภาษณ์และสังเกตการณ์ทำงานของเธอด้วยตนเองตลอดสองปีที่ผ่านมา นอกจากนั้นยังได้พูดคุยกับคนไข้และญาติหลายคน แม้มีอุปสรรคมากมาย แต่ด้วยฉันทะคือใจที่รักในงาน ชิ้นนี้จึงสำเร็จ เข้มข้นด้วยเนื้อหา เต็มไปด้วยสาระซึ่งหาอ่านจากที่อื่นได้ยาก แต่หากปราศจากทักษะในการเขียน เรื่องราวของผู้คนในหนังสือเล่มนี้คงไม่มีชีวิตชีวาและน่าติดตามอย่างที่เห็น โดยที่หลายช่วงหลายตอนก่ออารมณ์สะเทือนใจแก่ผู้อ่านเป็นอย่างมาก การถ่ายทอดของคุณสง่ายังสะท้อนให้เห็นถึงเบื้องลึกของความทุกข์ที่เกิดแก่ผู้ป่วยในวาระสุดท้ายของชีวิต หลายคนไม่ได้ทุกข์ทรมานเพียงเพราะโรคภัยไข้เจ็บ แต่มีเหตุปัจจัยที่มากกว่านั้น อาทิ ความร้าวฉานในครอบครัว อดีตที่เจ็บปวด ความโดดเดี่ยวอ้างว้าง และความรู้สึกว่างเปล่าในจิตใจ ปัจจัยทางสังคมและจิตใจเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อความทุกข์ทรมานของผู้ป่วยทั้งสิ้น แต่มักจะถูกมองข้ามจากแพทย์และพยาบาลส่วนใหญ่ รวมทั้งญาติมิตรที่ใกล้ชิดด้วย

หนังสือเล่มนี้มีประโยชน์อย่างมากไม่เฉพาะกับแพทย์และพยาบาลเท่านั้น หากยังรวมถึงคนทั่วไปที่กำลังดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ผู้ป่วยเหล่านี้มิได้ต้องการการดูแลทางกายเท่านั้น หากยังต้องการความช่วยเหลือทางจิตใจอีกด้วย แทนที่ทุกฝ่ายจะคิดถึงแต่การยื้อชีวิตหรือยืดลมหายใจของผู้ป่วยให้ยาวนานที่สุด (ซึ่งบ่อยครั้งกลับเพิ่มความทุกข์ทรมานให้แก่เขาจนสิ้นลม) ควรช่วยกันประคับประคองและดูแลจิตใจของเขาเพื่อพบกับความสงบในวาระสุดท้าย แม้ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถ ดังคุณกานดาวศรีได้ทำให้เห็นเป็นตัวอย่างด้วยวิธีการที่หลากหลาย ซึ่งถูกถ่ายทอดลงในหนังสือนี้เล่มนี้อย่างละเอียดและแจ่มชัด

จะว่าไปแล้วหนังสือเล่มนี้มีประโยชน์กับทุกคน แม้ไม่ได้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายเลย เพราะไม่ช้าก็เร็วเราทุกคนก็ต้องตาย ไม่มีใครปรารถนาจะตายอย่างทุรนทุราย ทุกคนล้วนอยากตายดีหรือตายอย่างสงบทั้งสิ้น แต่จะมีโอกาสเช่นนั้นได้อย่างไร คำตอบมิได้อยู่ที่ทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียง เกียรติยศ หรืออำนาจ หากอยู่ที่จิตใจซึ่งพร้อมรับความตาย ไร้ความห่วงกังวล หมดเรื่องค้างคาใจ และภาคภูมิใจในชีวิตที่ผ่านมา รวมทั้งมีสิ่งดีงามเป็นที่ยึดเหนี่ยวในจิตใจ สิ่งเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในวาระสุดท้ายของชีวิต การตระหนักถึงความจริงข้อนี้ทำให้คุณกานดาวศรีประสบความสำเร็จในการช่วยให้คนไข้พบกับความสงบก่อนสิ้นลม แต่ถึงแม้ไม่มีคุณกานดาวศรีอยู่ใกล้ ๆ เราทุกคนก็สามารถตายอย่างสงบได้ หากวางใจได้ถูกต้อง แต่จะทำเช่นนั้นได้ดีก็ต้องมีการฝึกฝนหรือเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมอยู่เสมอ รวมทั้งหมั่นทำความดี หลีกหนีความชั่ว และปฏิบัติต่อผู้อื่นโดยเฉพาะคนใกล้ตัวให้ดีที่สุด หากทำได้เช่นนั้นเมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ก็พร้อมจะจากโลกนี้ไปโดยไม่อะไรต้องกังวลหรือรบกวนจิตใจอีกเลย ตรงนี้เองที่นอกจากเรื่องราวของคุณกานดาวศรีแล้ว ชีวิตของบุคคลอีกมากมายในหนังสือเล่มนี้ยังสามารถเป็นครูสอนใจของเราได้ ทั้งในด้านที่เป็นแบบอย่างและด้านที่เป็นข้อผิดพลาดอันควรหลีกเลี่ยง

หนังสือเล่มนี้เป็นผลพวงแห่งความรัก นอกจากความรักความเมตตาที่คุณกานดาวศรีมีต่อคนไข้อย่างไม่เลือกหน้าแล้ว ความรักที่คุณสง่ามีต่อแม่ก็เป็นแรงผลักดันสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้เกิดหนังสือเล่มนี้ขึ้น ด้วยความปรารถนาที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีงามเพื่อเป็นเครื่องบูชาคุณของแม่ในโอกาสที่มีอายุครบ ๘ รอบ คุณสง่าจึงพากเพียรเขียนงานชิ้นนี้จนกลายเป็นหนังสือเล่มหนาและใช้เวลานานกว่าที่คิด แม้มีอุปสรรคมากมาย ไม่ว่าความยากของเนื้อหา ความจำกัดด้านเวลา ปัญหาในการจัดพิมพ์ แต่ก็ฟันฝ่าจนสำเร็จ บังเกิดผลงานที่มีคุณค่าดังประจักษ์แก่ผู้อ่านในบัดนี้ ขออนุโมทนาและชื่นชมคุณสง่าที่ใช้ความเพียรและสติปัญญาในการสร้างสรรค์ผลงานเป็นธรรมทานในโอกาสที่มีความหมายต่อชีวิตจิตใจของตน พร้อมกันนี้ขออำนวยพรให้คุณแม่ถ่องสี แซ่ลุ่ย มีความสุขและพลานามัยเพื่อเป็นมิ่งขวัญของลูกหลานนานเท่านาน

พระไพศาล วิสาโล
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 02, 2012, 03:52:28 pm โดย ยาใจ »