ผู้เขียน หัวข้อ: สมเด็จพระญาณสังวรฯ สมเด็จพระสังฆราช เสด็จเยี่ยมหลวงพ่อที่วัดป่าสาลวัน  (อ่าน 6473 ครั้ง)

เสรี ลพยิ้ม

  • รักธรรม
  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 489
    • ดูรายละเอียด
สมเด็จพระญาณสังวรฯ สมเด็จพระสังฆราช เสด็จเยี่ยมหลวงพ่อที่วัดป่าสาลวัน


ในหนังสือของ หลวงตามหาบัว เขียนประวัติของ หลวงปู่มั่น ตอนที่ว่า หลวงปู่มั่นคุยกับพระพุทธเจ้า คุยกับพระอรหันต์
ซึ่งนักปราชญ์ทั้งหลายนำไปวิจารณ์กัน ทั้งข่าวหนังสือพิมพ์ ทั้งหนังสือธรรมะ ท่านทั้งหลายลงความเห็นว่า พระพุทธเจ้า
พระอรหันต์นิพพานดับไปแล้ว เอาอะไรมาคุยกับท่านอาจารย์มั่น สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันท่านก็เคยถาม ไปเฝ้าท่าน
ท่านก็ถามว่า

“มาแล้วก็ดี สงสัยปัญหาเรื่องหลวงปู่มั่น ที่อาจารย์มหาบัวเขียนว่า หลวงปู่มั่นคุยกับพระพุทธเจ้า พระอรหันต์นี่
ในหลักตำราก็พูดถึงพระนิพพานว่าดับไปแล้ว เอาอะไรมาคุยกับท่านอาจารย์มั่น”

ก็เรียนท่านว่า

“มันเป็นจิตรู้ของท่านอาจารย์มั่น ในเมื่อจิตสัมผัสถึงคุณธรรมขั้นสูงแล้ว ถ้าเป็นภูมิของพระอริยสงฆ์
ก็ปรากฏเป็นภาพพระอริยสงฆ์ขึ้น ถ้าจิตถึงพระพุทธเจ้า กับพระอรหันต์ แต่ที่แท้จริงพระพุทธเจ้าพระอรหันต์
ไม่ได้มาหรอก เป็นจิตรู้ของท่านอาจารย์มั่น”

“อ้อ..มันเป็นอย่างนั้นหรือ”

ที่นี้อีกปัญหาหนึ่งที่ท่านถามว่า

“ฐีติภูตัง ของหลวงปู่มั่นนี้หมายความว่าอย่างไร”

เรียนท่านว่า

“ธมฺมฏฺฐิตตา ธมฺมนิยามตา

ธมฺมฏฺฐิตตา เพราะความที่จิตสงบ นิ่ง เด่น สว่างไสวอยู่ ธมฺมนิยามตา หมายถึงอารมณ์จิตที่ละเอียด
อันเป็นสภาวะอยู่หนึ่ง มาปรากฏให้จิตรู้อยู่ตลอดเวลา มันมีลักษณะเหมือนว่าสิ่งรู้ก็อยู่ประเภทหนึ่ง
ตัว ฐีติ นี้มันก็นิ่งเด่นของมันอยู่ หมายถึงในขณะที่จิตกับอารมณ์มันแยกออกจากกันได้แล้ว ทีนี้เพราะความรู้ทั้งนี้เกิดขึ้น
จิตไม่มีอุปาทานยึดมั่นในความรู้นั้น

มันจึงปรากฏว่าสิ่งรู้ทั้งหลายนี้เป็นอันหนึ่ง จิตก็เป็นอีกอันหนึ่ง ความรู้ที่เกิดขึ้นแล้ว มันแยกออกจากจิตได้ มันเป็นตัว
วิสังขาร แต่ถ้ารู้แล้วจิตยังสำคัญมั่นหมายว่าอะไรเป็นอะไรอยู่ มันเป็นตัว สังขาร มันเป็น สังขารา อนิจจา ฐีติภูตัง
ของหลวงปู่มั่นนี้เป็นวิสังขาร จิตรู้แล้วไม่ยึดสิ่งรู้ มีแต่ปล่อยวางลูกเดียว”

เพราะฉะนั้น นักภาวนาทั้งหลายถ้าทำสมาธิถึงขนาดที่มองเห็นความตายของตัวเอง จะหายสงสัยในธรรมวินัยทั้งหมด
ถึงไม่สำเร็จอรหันต์ก็หายสงสัย

พระพุทธเจ้ามาคุยกับพระอาจารย์มั่นได้ไหม

''ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม''

พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านไม่มายุ่งกับใครหรอก เพราะท่านนิพพานไปแล้ว ร่างกายตัวตนท่านก็ไม่มี
ท่านจะเอากายที่ไหนมาปรากฏให้เรารู้เราเห็น ท่านจะเอาปากที่ไหนมาคุยให้เราฟัง แต่ที่เป็นไปได้เช่นนั้น
เพราะเป็นจิตรู้ของผู้ทำสมาธิภาวนาไปถึงขั้นหนึ่ง ถึงจิตสัมผัสธรรม ซึ่งทำจิตให้เป็นพุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น
ผู้เบิกบาน ทีนี้จิตดวงนี้ก็แสดงมโนภาพขึ้นมาให้เราเห็นได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งเราเรียกว่านิมิตนั่นแหละ

ที่ว่าเป็นนิมิต บางทีเห็นเป็นพระพุทธเจ้า พระสาวกเดินเข้ามาหาเรา หรือบางทีก็มายืนเทศน์สอนเราอยู่
แต่แท้ที่จริงไม่ใช่พระพุทธเจ้าหรือพระสาวกเหล่านั้นเดินมาเทศน์หรือมานั่งเทศน์ให้เราฟัง แต่ว่าจิตรู้ของเราเอง
ที่มันถึงธรรมแล้วนี้ สารพัดที่เขาจะแสดงปรากฏการณ์ให้เรารู้เราเห็น เพื่อความมั่นใจในความรู้ของตัวเอง
คล้าย ๆ กับว่าเขาจะสร้างมโนภาพ สร้างนิมิตขึ้นมาเสริมศรัทธาที่เชื่อมั่นอยู่แล้วให้มั่นคงยิ่งขึ้น

นิมิตที่ปรากฏแก่ท่านพระอาจารย์มั่นนั้นน่ะ มันเป็นไปได้ในภาษิตที่พระพุทธเจ้าทรงสอนพระวักกลิว่า
 
“โย ธมฺมํ ปสฺสติ โส มํ ปสฺสติ”
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นถือว่าเห็นเรา
ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นถือว่าเห็นธรรม
ผู้ใดเห็นเราเห็นธรรม ผู้นั้นเชื่อว่าเห็นพระสงฆ์
ผู้ใดเห็นธรรมเห็นพระสงฆ์ ผู้นั้นเชื่อว่าเห็นเรา


เพราะฉะนั้น ในเมื่อท่านอาจารย์มั่นท่าน มีจิตของท่านบรรลุถึงคุณธรรม ที่ทำให้จิตเป็นพุทธะ เป็นจิตพุทธะแล้วนี่
ก็สารพัดที่จิตของท่าน จะสร้างมโนภาพขึ้นมา ให้ท่านรู้ท่านเห็น อันนี้เป็นภูมิรู้ภูมิธรรมของท่านเอง



สมเด็จพระญาณสังวรฯ สมเด็จพระสังฆราช เสด็จเยี่ยมหลวงพ่อที่วัดป่าสาลวัน
ที่มา หนังสือวรธัมโมกถา