« ตอบ #1 เมื่อ: มิถุนายน 08, 2011, 11:18:06 pm »
นายทหารยศพันตรีผู้หนึ่งมาถามว่า
(2) ถาม รูปเหรียญและวัตถุมงคลต่างๆที่ผู้ถือแล้วศักดิ์สิทธิ์จริงไหม และเป็นสิริมงคลจริงหรือเปล่า ถ้าจริงอย่างที่ว่าแล้ว อาจารย์ผู้ที่ให้ของศักดิ์สิทธิ์และรูปเหรียญต่างๆทำไมจึงต้องเกิดอุปัทวะเหตุ เช่น รถคว่ำ เรือล่ม เครื่องบินตกและถูกโจรฆ่าเป็นต้น(2) ตอบ ปัญหานี้คนทุกชั้นทุกประเภททุกหมู่เหล่าย่อมถามแซดกันไปหมด และคนเหล่านั้นแหละที่ถือของเหล่านี้อยู่เป็นส่วนมาก เพราะอะไร ก็เพราะของเหล่านี้ไม่มีในตำราคัมภีร์พระพุทธศาสนา และคนทั้งโลกก็พากันกลัวตายกันทั้งนั้น จึงหาเครื่องป้องกันตาย แต่หาไม่ถูก หาออกไปภายนอก ไม่หาเข้ามาที่หัวใจ เพราะภายนอกคือ กายนี้ ทุกรูปทุกกายย่อมตายด้วยกันทั้งหมด แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ต้องเสด็จดับขันธ์เข้าสู่พระ
ปรินิพพาน ต้องหาภายใน คือ ใจ เพราะที่ใจนี้ตายไม่เป็น กายตายแล้วใจยังมีกิเลสอยู่ตราบใดก็ไปเกิดถือกำเนิดอีกต่อไป ปัญหานี้ก็คล้ายกับปัญหาข้อแรกที่ว่า ทำบุญให้ผู้ที่ตายไปแล้วจะได้รับหรือไม่
ก็น่าเห็นใจพวกเรายังมีกิเลสอยู่ ถือรูปขันธ์นี้ว่าเป็นของกูๆอยู่ ก็ต้องกลัวตายเป็นธรรมดา เมื่อกลัวตายก็ต้องหาสิ่งจะมาป้องกัน ใครพูดว่าอะไรดีป้องกันได้ก็วิ่งแสวงหา จะถูกจะแพงสักเท่าใดก็หามาจนได้ เมื่อหามาได้ก็เป็นเครื่องอบอุ่นใจไปชั่วระยะหนึ่ง ในผลที่สุดก็ต้องตายไปด้วยกันทั้งหมด แม้อาจารย์ผู้แจกหรือผู้ขายของศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องม้วยไปด้วยกัน ของในโลกนี้ทั้งหมดมันเป็นอนิจจังไม่เที่ยงมั่นถาวรสักอย่างเดียว แท้จริงส่วนมากเกิดจากหน้าม้าหรือลูกศิษย์ผู้ต้องการอยากให้อาจารย์ดัง ตัวอาจารย์เองไม่เท่าไรหรอก
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า กัมมัสสกา วิภัชชันติ กรรมที่มนุษย์และสัตว์ได้กระทำไว้แล้วย่อมจำแนกสัตว์ให้เกิดและตายไปเป็นต่างๆกัน คนเรามักมองแต่ความตาย ความเกิดไม่มองเกิดมากเท่าไรก็ตายมากเท่านั้น ถ้าตายไม่ดีไม่งาม เช่น ตายเพราะเกิดอุปัทวะเหตุหรือตายปัจจุบัน ก็เรียกว่าตายไม่ดี ความตายจะตายอย่างไรก็เอาเถิด เรียกว่า ธาตุแตกขันธ์ดับ เปลี่ยนสภาพใหม่เหมือนกันทั้งนั้นไม่เป็นปัญหา ความต้องการของทุกๆคนก็เพื่อทำใจของตนให้ใสสะอาดเท่านั้นเป็นพอ หากเกิดอุปัทวะเหตุรถคว่ำเรือล่มหรือเครื่องบินตก ถ้าเราทำจิตของเราให้สะอาดแล้ว จะไม่ดีกว่าที่ตายอย่างทรมานนั่นหรือ บางคนเจ็บออดๆแอดๆหรือเป็นอัมพาตทรมานอยู่ตั้งหลายๆปี จะตายแหล่ไม่ตายแหล่ เมื่อร่างกายทรุดโทรมสติสตังก็อ่อนแอ หลงหน้าลืมหลัง กินแล้วก็หาว่าไม่ได้กิน เห็นแล้วเป็นที่น่าทุเรศมาก นี่เพราะกรรมตกแต่งให้แท้ๆ ใครจะปรารถนาเอาตามใจชอบของตนเองไม่ได้ ฉะนั้นจึงควรทำแต่กรรมที่ดีจนเป็นนิสสัย เพื่อจะไม่ได้เสวยผลของกรรมชั่วเมื่อจวนจะตาย และตายไปแล้วก็จะไปสู่สุคติในภพนั้น
เรื่องกรรมนี้บุคคลที่ทำลงแล้วไม่ว่าดีและชั่ว จะทำอย่างไรๆแม้พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายก็ตาม เมื่อยังมีวิบากอันนี้เหลืออยู่ ได้โอกาสเมื่อไรย่อมตามขยี้เอาจนได้ ดังพระโมคคัลลานะเป็นตัวอย่าง เมื่อนานมาแล้วในอดีต พระโมคคัลลานะท่านเกิดเป็นบุรุษลูกคนเดียวเลี้ยงบิดามารดาตาบอด โดยความเอาใจใส่ ไม่ว่าจะเป็นอาหารและเครื่องนุ่งห่มตลอดถึงอาบน้ำนวดเท้า ไม่ให้บิดามารดาอุทธรณ์ร้อนใจตามปฏิบัติทุกเช้าเย็น มารดาเห็นเช่นนั้นด้วยสัญชาติญาณก็เกิดสงสารบุตร จึงเรียกบุตรมาบอกว่า ลูกเอ๋ยลูกคนเดียว ปฏิบัติบิดามารดาเป็นการลำบากมาก ไหนจะต้องวิ่งเข้าครัวออกครัว ไหนจะต้องวิ่งทำมาหากินภายนอกบ้าน แล้วจะต้องปฏิบัติคนพิการทั้งตายายอีกด้วย อย่ากระนั้นเลย แม่จะไปหาภรรยามาให้เพื่อจะได้ช่วยแบ่งเบากัน ลูกชายคนดีก็บอกว่า ไม่เป็นไรหรอก ลูกคนเดียวสามารถจะทำได้ทุกอย่าง ได้ภรรยามาแล้วไม่ทราบว่าเขาจะพอใจปฏิบัติหรือไม่ ถ้าเขาพอใจปฏิบัติก็ดีไป ถ้าเขาไม่พอใจปฏิบัติก็จะทำให้ยุ่งไปเปล่าๆ มาภายหลังมารดาก็พูดเช่นนี้อีก 2 ครั้ง 3 ครั้ง ลูกชายก็คัดค้านเช่นเคย มีหลังมารดาไม่ได้พูดอีกแล้ว ขอเอาหญิงในตระกูลที่เห็นว่าสมควรมาให้ลูกชายมาเป็นภรรยา เมื่อภรรยามาอยู่ทีแรกก็ดีอยู่ น้ำท่า ฟืนไฟและปฏิบัติพ่อผัวแม่ผัวแทนผัวได้ อยู่มาหน่อยมันไม่ใช่บิดามารดาของตนเอง เราปฏิบัติแต่ผัวของเราก็แย่อยู่แล้ว ธุระอะไรจะมาปฏิบัติพ่อผัวแม่ผัวอีกเล่า คิดแล้วก็อดกลั้นไว้แต่ในใจไม่กล้าพูดให้ผัวฟัง เมื่อผัวออกไปทำงานนอกบ้านก็ไม่เอาใจใส่ปฏิบัติพ่อผัวแม่ผัว เวลาผัวกลับมาจากทำงานก็แกล้งกุลีกุจอปฏิบัติพ่อผัวแม่ผัวดี
อยู่มาวันหนึ่งทำเป็นหน้าเศร้าข้าวก็ไม่กิน ผัวจึงเข้าไปถามเรื่องอะไร ทำเป็นอิดๆออดๆตามภาษามารยาของหญิงชั่ว แล้วร้องไห้โฮออกมาว่า จะเรื่องอะไรก็พ่อแม่ของคุณนั่นแหละ ทำอะไรก็ไม่ถูกใจสักอย่างเดียว ฉันอยู่ไม่ได้หรอก ถ้าอย่างนี้เห็นจะอยู่ไม่ได้แน่ สามีบอกว่า พ่อแม่ของฉัน เธออยู่ไม่ได้จะกลับไปอยู่กับพ่อแม่ของเธอก็ตามใจ แต่ฉันจะต้องปฏิบัติพ่อแม่ของฉัน แล้วเรื่องนั้นก็ระงับไป อยู่มาทีหลังเธอก็พูดอย่างนี้อีก สามีก็พูดอย่างเก่า เสาอินทขีลฝังลึกถึง 8 ศอก หากมีคนผลักบ่อยๆ หนักเข้ามันก็คลอนเป็นเหมือนกัน
นับประสาอะไรใจผู้ชายถูกเมียกระตุกบ่อยเข้าจะไม่หวั่นไหวได้หรือ มาวันหนึ่งจึงเข้าไปพูดกับบิดามารดาว่า ฉันจะพาไปเยี่ยมญาติที่บ้านโน้น แล้วเอามารดาบิดาขึ้นเกวียนขับไปพอถึงกลางดงแห่งหนึ่ง จึงบอกมารดาบิดาว่า ที่แห่งนี้มีโจรชุกชุมมากขอให้ระวังตัวหน่อย ว่าแล้วก็แกล้งว่ามีธุระ หยุดเกวียนแล้วก็ลงจากเกวียนไป ประเดี๋ยวเดียวก็ร้องตะโกนมาว่า เหวยๆใครมานั่นเอาให้ตาย ใครมาอะไรนั่น ส่วนมารดาบิดาด้วยรักบุตรสุดกำลังจึงเรียกบอกว่า พ่อหนูจงหนีให้พ้นจากมือโจร มารดาบิดาจะตายก็ช่างเถิด หาได้รู้ว่าเป็นโจรบุตรของตนไม่ พอมาถึงก็ทุบเอา 2 ตายายจนดับในที่นั้น ลูกทรพีพอดับสิ้นชีพไปแล้วก็ไปเกิดในทุคติและถูกเขาฆ่าเป็นอเนกชาติ (แต่มิใช่บิดามารดาตามไปฆ่า กรรมหากบันดาลให้เขาฆ่าเอง) มาชาติสุดท้ายได้มาเกิดเป็นพระโมคคัลลานะสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ไปจำพรรษาอยู่ ณ กาฬศิลาประเทศ กรรมเก่าตามทัน ทำให้โจรมาล้อมปองทำร้ายอยู่นานถึง 4 เดือน มาทีไรท่านเหาะหนีทุกที ทีหลังท่านมาพิจารณาดูก็รู้ว่า อ้อ กรรมเก่าท่านได้กระทำไว้ จึงปล่อยให้โจรทุบเอาจนนิพพาน อันนี้เรียกว่ากรรม
ส่วนเวรนั้นสับเปลี่ยนทำร้ายล้างผลาญซึ่งกันและกัน ตัวอย่างเรื่องนี้ก็คล้ายๆกับเรื่องก่อน แต่เรื่องนี้มีแต่มารดา เมื่อมารดาหาภรรยามาให้แล้วไม่มีบุตร ทีหลังภรรยาหลวงไปหาภรรยาน้อยมาให้สามีเอง เมื่อภรรยาน้อยมีบุตรก็กลัวเขาจะใหญ่กว่าตน จึงแกล้งไปทำดีด้วย ให้อาหารและรักษาครรภ์ในผลที่สุดทำยาแท้งลูกให้กินเสีย ทำอยู่อย่างนี้ถึง 2-3 ครั้ง ครั้งสุดท้ายนี้แม่ของเด็กเลยตายไปด้วย ก่อนจะตายจึงรู้ว่าภรรยาหลวงทำให้ตาย จึงปรารถนาว่าขอให้กูได้ฆ่าลูกมึงถึง 2 ครั้ง ครั้งที่ 3 ขอให้กูได้ฆ่ามึงพร้อมทั้งลูกด้วย เมื่อสามีรู้เรื่องนั้นเข้าจึงโกรธภรรยาหลวง ทุบด้วยศอกตอกด้วยเข่าเอาจนตาย ตายไปแล้วเกิดเป็นแม่ไก่ ภรรยาน้อยไปเกิดเป็นแมว ไก่ไข่มาแมวก็ก็เอาไปกินเสียถึง 2 ครั้ง ครั้งที่ 3 ขม้ำแม่ไก่เอาไปกินด้วย แม่ไก่ตายไปเกิดเป็นเสียเหลือง แมวตายไปเกิดเป็นนางเนื้อ นางเนื้อเกิดลูกมาเสือเหลืองก็เอาไปกินหมด ครั้งที่ 3 ขม้ำแม่เนื้อเอาไปกินด้วย นางเนื้อตายไปเกิดเป็นนางยักขินี เสือเหลืองตายไปเกิดเป็นนางกุลธิดา เมื่อนางกุลธิดาคลอดบุตรมา นางยักขินีทำเป็นเหมือนสหาย แล้วอุ้มลูกของนางกุลธิดาชมไปชมมาก็ฉีกกินลูกนั้นเสีย ครั่งที่ 2 ก็ทำเช่นนั้นอีก ครั้งที่ 3 นางกุลธิดาเข็ด พอคลอดแล้วก็อุ้มลูกพาสามีหนีไปสู่ตระกูลของตน พอไปถึงกลางทาง นางอุ้มลูกให้สามีแล้วลงอาบน้ำอยู่ก็เห็นนางยักขินีวิ่งติดตามมา พอนางเห็นก็วิ่งเข้าไปในวัดเชตวันหวังที่พึ่งพระพุทธเจ้า แล้วบอกว่า ขอพระองค์โปรดช่วยลูกของข้าพระองค์ด้วย นางยักขินีมันจะกินเอา นางยักขินีวิ่งไปถึงประตูวัด พระอานนท์ไม่ให้เข้าไป พระพุทธองค์บอกว่า ให้เข้ามาเถิด เมื่อเข้าไปถึงแล้วพระพุทธองค์เทศนาเรื่องเวรก่อเวรไม่มีที่สิ้นสุด ดีที่เธอได้มาพบเราตถาคตในวันนี้ ถ้าหาไม่แล้วก็จะก่อเวรแก่กันและกันไปไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อจบเทศนาแล้วต่างมีความเบิกบานชื่นใจให้อภัยซึ่งกันและกัน พระองค์จึงให้ทั้งสองเป็นสหายกัน แล้วนำไปเลี้ยงดูกันต่อไป
ทั้งสองเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าเวรนั้นถ้าอยู่พร้อมหน้ากันก็สามารถอภัยให้ซึ่งกันและกันได้ ในบางกรณี เช่น เรื่องนางยักขินีนี้เป็นต้น ส่วนกรรมนั้นใช้กันเป็นอเนกชาติกันทีเดียว กรรมมิใช่คู่กรรมด้วยกันจะมาสนองกรรมอยู่เรื่อยไป แต่กรรมที่ตนแระทำไว้มันบันดาลให้เป็นไปเอง
เจ้ากรรมนายเวรก็คือตัวของเราเองนั่นแหละ เราได้กระทำไว้แล้วด้วยความตั้งใจ มิใช่มีคนอื่นมาบังคับให้กระทำ หรือคนอื่นมายกให้ จิตที่ตั้งเจตนาไว้แล้วว่า จะทำกรรมนั้นๆไม่ว่าดีหรือชั่วนั่นแหละเป็นตัวกรรม ผลของกรรมดีและกรรมชั่วก็จิตของผู้นั้นได้เสวย คนอื่นจะเสวยแทนไม่ได้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 03, 2012, 08:00:51 am โดย ยาใจ »
เข้าสู่ระบบ