ผู้เขียน หัวข้อ: * รวมคติธรรม - คำกลอน * - พระเมธีวชิโรคม ( ว.วชิรเมธี )  (อ่าน 131984 ครั้ง)

ยาใจ

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14201
    • ดูรายละเอียด



“ลมปาก”

ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป

ถ้าเราไม่ให้ความสำคัญมากเกินไป

ก็ไม่ทำให้เป็นทุกข์


(ว.วชิรเมธี)








ขอบคุณรูปภาพจาก Facebook พระเมธีวชิโรดม - ว.วชิรเมธี
https://www.facebook.com/v.vajiramedhi/

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 26, 2020, 05:38:13 am โดย ยาใจ »

ยาใจ

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14201
    • ดูรายละเอียด




"ชื่อเสียงเหมือนสายลมเย็น

ไม่มีตัวตนเป็นๆ

ให้ถือครอบครอง"


(ว.วชิรเมธี)


(ภาพ:secret)







ขอบคุณรูปภาพจาก Facebook พระเมธีวชิโรดม - ว.วชิรเมธี
https://www.facebook.com/v.vajiramedhi/


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 26, 2020, 05:47:50 am โดย ยาใจ »

ยาใจ

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14201
    • ดูรายละเอียด



“ทำไมต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด

เพราะเวลาแต่ละวัน จะไหลผ่านเราเพียงครั้งเดียว

ไม่มีวันนี้เป็นครั้งที่สอง”


(ว.วชิรเมธี)

(ภาพ : secret)

ยาใจ

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14201
    • ดูรายละเอียด



เพื่อความสวัสดีแห่งชีวิต (ตอนที่ ๑)

สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา.
(ความไม่ประมาท
จำเป็นต้องมี ในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ)


ในขณะที่เราคนไทย
กำลังนับถอยหลังเข้าสู่การเฉลิมฉลอง
ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่
แต่แล้วข่าวร้ายก็ย่างกรายเข้ามากระทบต่อวิถีชีวิต
ของประชาชนทั้งประเทศ
นั่นคือ การตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด 19
จำนวนมากเกินกว่า ๕๐๐ คน จากชุมชนแห่งหนึ่ง
ในจังหวัดสมุทรสาคร

ท่ามกลางความไม่แน่นอน
ว่า วิถีชีวิตต่อจากนี้ของเราคนไทยจะเป็นอย่างไร
จะก้าวต่อไปถึงขั้น Lock down รอบสองหรือไม่
ก็ยังไม่รู้ แต่ที่รู้แน่ๆ ก็คือ เราต้อง “ไม่ประมาท”
หรือ “การ์ดอย่าตก”

ทำใจร่มๆ
อย่าเพิ่งก่นด่ากัน
หายใจเข้า หายใจออกอย่างมีสติ
ติดตั้ง “สติ” ให้กับวิถีชีวิต
ที่ไม่ได้มีอภิสิทธิ์มากไปกว่าคนทั้งโลก
เพราะทุกประเทศทั้งโลกล้วนตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน

กลับมาสวมหน้ากาก
กลับมารักษาระยะห่าง
กลับมาปฏิบัติตามมาตรการของ สธ.อีกครั้งหนึ่ง
อย่างมากด้วยความระมัดระวัง
และยิ่งไปกว่านั้น ก็ควรไม่ประมาท
ในสถานการณ์ทั้ง ดังต่อไปนี้ด้วย


|๑| ไม่ประมาทในชีวิต ว่าจะยืนยาว
|๒| ไม่ประมาทในวัย ว่ายังหนุ่มยังสาว
|๓| ไม่ประมาทในสุขภาพ ว่ายังแข็งแรง
|๔| ไม่ประมาทในเวลา ว่ายังมีอยู่มาก
|๕| ไม่ประมาทในความดี ว่าเอาไว้ก่อนวันหลังค่อยทำ

โสตฺถิ เต โหตุ สพฺพทา.
ขอความสวัสดีจงมีแก่ประชาคมโลก
ในที่ทุกสถาน และ ในกาลทุกเมื่อ เทอญ

พระเมธีวชิโรดม (ว.วชิรเมธี)
๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๓








ขอบคุณรูปภาพจาก Facebook พระเมธีวชิโรดม - ว.วชิรเมธี
https://www.facebook.com/v.vajiramedhi/

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 04, 2021, 02:27:19 pm โดย ยาใจ »

ยาใจ

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14201
    • ดูรายละเอียด
“ทนอีกหน่อยนะ” - พระเมธีวชิโรคม ( ว.วชิรเมธี )
« ตอบ #154 เมื่อ: มิถุนายน 04, 2021, 02:25:01 pm »




ทนอีกหน่อยนะ


ไม่มีใครคาดคิดโควิดจะมา
ไม่มีใครปรารถนาให้มันอยู่
ไม่มีใครอยากปิดเมืองอันเฟื่องฟู
ไม่มีใครอยากจะอยู่เหมือนสิ้นใจ

แต่ชีวิตอนิจจังเป็นอย่างนี้
หลายอย่างที่คาดหวังพังกษัย
บางอย่างมิเคยคิดพินิจนัย
กลับเกริกไกรกำเนิดเกิดมาเอง

หรือมิใช่ชีวิตคือการผจญภัย
ต้องเตรียมใจเตรียมจิตอย่าคิดเบ่ง
อุปสรรคหนักหนาประดาเด็ง
อาจกระเตงตามกัน ณ วันธรรมดา

อาจเป็นวันธรรมดาธรรมดาอีกคราหนึ่ง
วันที่ซึ่งคาดไม่ถึงจะหนักหนา
แต่แล้วเจ้าโควิดก็ติดมา
องค์พุทธาจึงทรงสอน “อย่านอนใจ”

(กวีนิพนธ์ : ว.วชิรเมธี)
๒๓ พฤษภาคม ๒๕๖๔








ขอบคุณรูปภาพจาก Facebook พระเมธีวชิโรดม - ว.วชิรเมธี
https://www.facebook.com/v.vajiramedhi/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 04, 2021, 03:00:53 pm โดย ยาใจ »

ยาใจ

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14201
    • ดูรายละเอียด
“ทุกที่ล้วนมีเธอ” - พระเมธีวชิโรคม ( ว.วชิรเมธี )
« ตอบ #155 เมื่อ: มิถุนายน 04, 2021, 02:30:11 pm »




ทุกที่ล้วนมีเธอ 

เธอหายใจปลอดโปร่งโล่งดีไหม
เลือดยังไหลราบรื่นสดชื่นหรือ
สมองยังสั่งงานสำราญฤา
จิตยังคือคลังชีวิตนิมิตงาน

เธอยังคงเป็นเธอที่เลอเลิศ
รู้ไว้เถิดเพราะเธออิงส่ำสิ่งสาร
จากแพลงตอนเล็กจ้อยสร้อยชีวาน
จักรวาลสุดขอบเกินกรอบกาล

มีสิ่งใดไม่พึ่งพาหามีไม่
สรรพสิ่งใยยึดโยงเป็นโครงสาน
ราวตาข่ายพระอินทร์นิลกาฬ
ถักทอธารนับเนื่องเป็นเฟืองฟัน

พิศพฤกษาโดยแยบคายสายวิสุทธิ์
เห็นมนุษย์แนบนิ่งในสิ่งสรรพ์
ลมหายใจเข้าออกฟอกชีวัน
มาจากพันเหตุปัจจัยในโลกา

(กวีนิพนธ์ : ว.วชิรเมธี)
(ภาพประกอบ : Jaxon Rohlman)










ขอบคุณรูปภาพจาก Facebook พระเมธีวชิโรดม - ว.วชิรเมธี
https://www.facebook.com/v.vajiramedhi/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 04, 2021, 02:58:09 pm โดย ยาใจ »

ยาใจ

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14201
    • ดูรายละเอียด
หาหัวใจให้เจอ...ก็เป็นสุข
« ตอบ #156 เมื่อ: มิถุนายน 04, 2021, 02:36:23 pm »





๑.หาหัวใจให้เจอ...ก็เป็นสุข  

“...
คืนนั้นคืนไหน ใจแพ้ตัว
คืนและวันอันน่ากลัวตัวแพ้ใจ
ท่ามกลางแสงสีศิวิไล
อาจหลงทางไปไม่ยากเย็น
คืนนั้นคืนไหน ใจเพ้อฝัน
คืนและวันฝันไปไกลลิบโลก
ดั่งนกน้อยลิ่วล่องลอยแรงลมโบก
พออับโชคตกลงกลางทะเลใจ

ทุกชีวิตดิ้นรนค้นหาแต่จุดหมาย
ใจในร่างกายกลับไม่เจอ
ทุกข์ที่เกิดซ้ำ
เพราะใจนำพร่ำเพ้อ
หาหัวใจให้เจอก็เป็นสุข...”

เสียงเพลง “ทะเลใจ”
ที่ขับร้องโดยแอ๊ด คาราบาว ดังแว่วมาตามสายลม
พระหนุ่มขยับตัวเล็กน้อย
สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ผ่อนออกยาวๆ อย่างผ่อนคลาย
แม้เสียงเพลงจะดังมาจากคนละฝั่งของอ่างเก็บน้ำแห่งนี้
แต่ในยามดึกสงัด
สายลมก็หอบเอาเสียงเพลง
มาแตะโสตประสาทของท่านอย่างชัดถ้อยชัดคำ
แว่บหนึ่งของจิตใจ
ท่านกระหวัดไปถึงช่วงชีวิตวัยรุ่นของตัวเอง
ที่เพลงนี้ก็เคยนับเป็นหนึ่งในเพลงโปรดของท่านเช่นกัน
เมื่อสูดหายหายเข้าลึก ออกยาว อีกครั้งหนึ่ง
ท่านก็ดึงเอาสติกลับมาได้
ท่านบอกกับตัวเองว่า
เราไม่ควรถอยกลับเข้าไปในอดีต
หากแต่ควรอยู่กับปัจจุบันอันเป็นชีวิตแท้ๆ ของตนเองตอนนี้ดีกว่า

ท่านกลับตาลงอีกครั้งหนึ่ง
สูดลมหายใจหล่อเลี้ยงกาย ใจ ให้สดชื่นรื่นเย็น
ระหว่างหยั่งจิตลงสู่ความสงบในเรือนใจ
เพียงแว่บหนึ่งของเจตสิก
ท่านหวนนึกถึงเรื่องราวในพระคัมภีร์
ที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกับเสียงเพลง
ท่ีแว่วมากระทบโสตประสาทก่อนหน้านี้
แต่คราวนี้
จิตใจของท่านดำดิ่งลงไปตามเนื้อหาในพระคัมภีร์
ที่เพิ่งได้อ่านมาเมื่อไม่กี่วันก่อน
โดยไม่รู้สึกผิด
เพราะคัมภีร์นั้นคือพระไตรปิฎก
อันเป็นบันทึกเรื่องราวในสมัยพุทธกาล
แต่มีผู้นำมาถ่ายทอดใหม่ด้วยสำนวนที่ร่วมสมัย
ท่านปล่อยให้ใจของตัวเองล่องลอยไปตามเนื้อหาที่ได้อ่านดังนี้

“...
กลุ่มวัยรุ่นผู้มีอันจะกินกลุ่มหนึ่ง
นัดหมายกันพาสาวๆ คนรักออกไปปิคนิก
ที่สวนอันแสนร่มรื่นแห่งหนึ่งในวันหยุด
พวกเขามีด้วยกัน ๓๐ คน
๒๙ คนล้วนมีคู่ควง คู่รัก คู่ครอง
แต่มีเพียง คนที่ยังโสดสนิท
เพื่อนๆ จึงนัดหมายเด็กเอ็นท์ฯคนหนึ่ง
ให้มาทำหน้าที่เยียวยาหัวใจให้เขา
เขาตกลงตามนั้น

เมื่อถึงเวลานัดหมาย
ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี
แต่เมื่อเวลาผ่านไปครึ่งค่อนวัน
ก็เกิดเรื่อง
เพราะเด็กเอ็นท์ฯ คนนั้น
ได้ฉวยเอาสิ่งของมีค่าของพวกเขาไปหลายชิ้น
ทริปวันหยุดแสนสนุกเลยต้องหยุดลงกระทันหัน
พวกเขาออกเดินทางไปค้นหาเด็กเอ็นท์ฯ ที่กลายร่างเป็นขโมย
หากันอยู่ครึ่งค่อนวันก็ไม่เจอ

ระหว่างที่พวกเขากำลังง่วนอยู่กับการไล่ล่าเด็กเอ็นท์ฯนั่นเอง
พระพุทธองค์ก็ทรงดุ่มเดินมาทางนั้น
พระองค์ประทับอยู่ใต้ต้นไม้ที่สดชื่นรื่นเย็นต้นหนึ่ง


“หาอะไรกันอยู่หรือพ่อหนุ่มทั้งหลาย”
“หาสตรีขี้ขโมยพระพุทธเจ้าข้า” พวกเขาตอบพร้อมกัน
“ระหว่างค้นหาสตรีขี้ขโมย กับ ค้นหาตัวเอง อย่างไหนจะดีกว่ากันล่ะพ่อหนุ่ม”
พระพุทธองค์ทรงโยนถ้อยปุจฉาลงไปกลางวงหนุ่มเจ้าสำราญกลุ่มนั้น
“หาอะไรนะพระพุทธเจ้าข้า” บางคนฉงน
“หาตัวเอง กับ หาสตรี อันไหนจะดีกว่ากัน” ทรงย้ำอีกครั้ง
คำของพระพุทธองค์เป็นเพียงถ้อยคำแสนเรียบง่าย
แต่กลับกระทบเข้ากับจิตใจของชายหนุ่มกลุ่มนั้นอย่างทรงพลังยิ่ง
เพราะนาทีเช่นนั้น
พวกเขากำลังจดจ่ออยู่กับการตามหาสตรีขี้ขโมยด้วยความโกรธอยู่พอดี
เมื่อมีคนมาชี้ว่า “ตามหาคนอื่นทำไม-ทำไมไม่ลองตามหาตัวเองดูบ้าง”
จึงเป็นการถามที่จี้เข้าไปยังใจกลางของปัญหาโดยตรง

คนที่กำลังกระหายน้ำจัด
หากมีคนยื่นน้ำมาให้อย่างทันท่วงที
ย่อมรู้สึกดีเป็นพิเศษ ฉันใด
วัยรุ่นเจ้าสำราญกลุ่มนั้นก็คงไม่ต่างกัน ฉันนั้น

กลุ่มวัยรุ่นลูกผู้ดีเหล่านี้ล้วนมีการศึกษาดี
ทุกคนต่างมาจากตระกูลสูง
เมื่อได้ฟังพุทธดำรัสที่แหลมคมเช่นนั้น
พวกเขาก็พลัน “ได้คิด” เมื่อได้คิดก็พากัน “คิดได้”
พวกเขาหยุดการค้นหาหัวขโมย
หันมาสนใจกับสมณะที่นั่งสงบอยู่ตรงหน้า
“การตามหาตัวเองต้องทำอย่างไรหรือ ?” ใครคนหนึ่งถามขึ้น

“นั่งลงสิ เราจะบอกวิธีการตามหาตัวเองให้ฟัง”
พระพุทธองค์ตรัส
จากนั้น
ก็ทรงแสดงธรรม
เรื่องศิลปะการตามหาตัวเองให้พวกเขาฟัง
หลังจบธรรมเทศนา
วัยรุ่นทั้ง ๓๐ คน ล้วนบรรลุธรรม
ต่างได้ดวงตาเห็นธรรม
หยั่งลงสู่กระแสแรกแห่งพระนิพพาน
ไม่มีใครสนใจตามหาหญิงงามอีกแล้ว
เพราะทุกคนได้พบกับสิ่งที่ดีงามล้ำเลิศกว่านั้นนับร้อยเท่าพันทวี

ใช่หรือไม่ว่า...
การตามหา (หัวใจ) ตัวเอง
คือ ภารกิจที่เราทุกคนควรให้ความสำคัญ
ก่อนที่ชีวิตจะเลือนหายไปกับกระแสธารแห่งกาลเวลา








ขอบคุณรูปภาพจาก Facebook พระเมธีวชิโรดม - ว.วชิรเมธี
https://www.facebook.com/v.vajiramedhi/


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 04, 2021, 03:49:17 pm โดย ยาใจ »

ยาใจ

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14201
    • ดูรายละเอียด
“อิสรชน...อิสรสุข” - พระเมธีวชิโรคม ( ว.วชิรเมธี )
« ตอบ #157 เมื่อ: มิถุนายน 04, 2021, 02:49:49 pm »



  อิสรชน...อิสรสุข


  เป็นไปได้ไหม...ใช้ชีวิตให้ช้าลง
เข้าถึงความสุขวิถีตรงซึ่งซึ่งหน้า
ไม่ต้องอ้อมทางไกลไปลิบตา
ใช้ชีวาตื่นเต็มเปรมปรีชา

  เลิกวิ่งตามเงื่อนไขที่ใครบอก
ออกจากคอกค่านิยมสังคมบ้า
วางเปรียบเทียบคนอื่นดาดดื่นดา
เมินขื่อคาที่คุมครอบระบอบบรรพ์

  คืนสู่ความเรียบง่ายอันฉายชัด
เพียรสลัดเครื่องประดับอัปสรสรร
หิวก็กิน ง่วงก็นอน ก่อนตะวัน
ชีวาสั้นอย่าอยู่ยากให้มากไป

  วางสมาร์ทโฟนกระโจนสู่ความสงบ
หายใจพบประณีตสุขทุกกษัย
ไม่ต้องชะเง้อมองน่องใครใคร
อยู่อย่างไทอิสรชนคนธรรมดา


(กวีนิพนธ์ : ว.วชิรเมธี)
(ภาพประกอบ : Magical Wildlife)








ขอบคุณรูปภาพจาก Facebook พระเมธีวชิโรดม - ว.วชิรเมธี
https://www.facebook.com/v.vajiramedhi/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 04, 2021, 03:13:51 pm โดย ยาใจ »

ยาใจ

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14201
    • ดูรายละเอียด




  สุขภาพดี คือ พรนับพัน 



“ช่วงนี้เป็นไงบ้าง...อย่าลืมดูแลสุขภาพด้วยนะครับ”
“ยังไงก็ออกกำลังด้วยนะ”
“ยังเดินอยู่หรือเปล่า”
“take care นะ”
“Take care of yourself - master.”
“ตรวจสุขภาพประจำปีบ้างไหม ?”
“มีประกันสุขภาพหรือเปล่า ?”
“ตกลง ฉีดวัคซีนหรือยัง ?”
“วิตามินตัวนี้ดีมากนะ อย่าลืมกินล่ะ”

สารพัดคำเตือนเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ
เป็นหนึ่งในคำเตือนจากคนนั้นคนนี้
ที่เราได้ยินได้ฟังกันอยู่เสมอ
ไม่ใช่เฉพาะกับผู้เขียน
แต่นี่คือส่วนหนึ่งของคำทักทาย
ในชีวิตประจำวันของเราแทบทุกคน
แต่เชื่อเถอะว่า
ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความห่วงใยเหล่านี้
แม้จะออกมาจากเจตนารมณ์ที่แสนดีเพียงไรก็ตาม
แต่ทว่ามันจะไม่มีผลอะไรเลย
ถ้าหากเรา “ไม่ใส่ใจมันอย่างลึกซึ้ง” ด้วย “ตัวเอง”

ร้อยคนเตือน พันคนบอก ก็เท่านั้น
หากเราไม่ลุกขึ้นมาบอก ไม่ลุกขึ้นมาสอนตัวเอง
สุขภาพเป็นเรื่องเฉพาะตัวจริงๆ
เพราะหากเราไม่สนใจที่จะดูแลตัวเองอย่างจริงจัง
ทุกคำเตือนล้วนผ่านเลยหายไปเหมือนสายลม

อย่ารำคาญคนที่มาเตือนเราให้ดูแลสุขภาพเลย
คนเหล่านั้นเขาเป็นห่วงเรานั่นแหละ
ลองนิ่งฟังเสียงของผู้หวังดีเหล่านั้นบ้างก็ไม่เลว
และหากเราทำได้อย่างที่คนเหล่านั้นช่วยเตือนจริงๆ
เราจะพบว่า
มันช่างเป็นคำเตือนที่มีผลตอบแทนคุ้มค่าจริงๆ

เมื่อปีที่แล้ว
เราต้องปิดศูนย์ฯของเราไปโดยปริยาย
เพราะโควิด-19 ไม่อนุญาตให้เราใช้ชีวิตตามปกติได้อีกต่อไป
แล้วช่วงเวลานั้นเอง (กลางเดือนมีนาคม ๖๔)
เป็นช่วงเวลาที่ผู้เขียนได้กลับมา “ได้ยิน” คำเตือนของกัลยาณมิตรมากมาย
ที่เตือนกันมาตลอดหลายปีเรื่องให้ดูแลสุขภาพ
บางครั้งก็อ้วน บางคราก็ผอม
หลายคนเป็นห่วง

แต่ใครห่วงเรา
ก็ไม่เท่ากับเราห่วงตัวเอง
เพราะคนอื่นห่วง ถึงห่วงอย่างไร ห่วงแล้วเขาก็ห่าง
เตือนแล้วเขาก็ไป เห็นอกเห็นใจแค่ไหน เขาก็จาก
แต่เราสิ ต้องอยู่กับตัวเองทั้งคืนทั้งวัน
เราอยากอยู่กับตัวเองที่แข็งแรง
หรืออยากอยู่กับตัวเองที่อมโรค ?

ในวันที่ไม่มีนัดหมายอยู่ในตาราง
ผู้เขียนชวนลูกศิษย์สามคนเริ่มออกเดิน ๑๐,๐๐๐ ก้าวเป็นวันแรก
เราค่อยๆ ดุ่มเดินอย่างสบายๆ ไม่เคร่งครัดในเป้าหมาย
เป็นการเดินที่ผ่อนคลายที่สุด
เพราะเรา “แค่เดิน” เท่านั้นเอง
เมื่อเมื่อยก็พัก เดินมากนักเราก็นั่ง
บางวันเราพากันนั่งลงกลางถนนลาดยางที่คดเคี้ยวไปตามขุนเขา
โอบล้อมด้วยสุมทุมพุ่มไม้ที่เพิ่งผลิใบอ่อนสุดลูกหูลูกตา
โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีรถยนต์วิ่งสวนทางมาข้างหน้าหรือข้างหลัง
เพราะวันเวลาเช่นว่านั้นไม่มีใครอยากออกจากบ้านอีกแล้ว
เนื่องจากโควิดกำลังระบาดรุนแรง

จากการเดินเล่นๆ ในวันนั้น
มันได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของผู้เขียน
ที่ทุกวันนี้มีนัดหมายกับตัวเอง
เพื่อเดินให้ได้อย่างน้อยวันละ ๑๐,๐๐๐ ก้าวเสมอ
เป็นหมื่นก้าวที่ได้มามากกว่าความสุข
เพราะระหว่างย่างก้าวนับหมื่นนั้น
เราได้โมงยามคุณภาพคืนกลับมาให้ตัวเอง
สมอง ความคิด จิตใจ ปลอดโปร่ง โล่งเบา อิสระ
ร่างกายขับเหงื่อที่ปนเปื้อนสารพิษออกมาตามรูขุมขน
กล้ามเนื้อทุกมัดแข็งแรงเพราะได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว
หัวใจสูบฉีดเลือดอย่างกระปรี้กระเป่า
ลมหายใจโปร่ง บางเบา สะอาด สดชื่นไปทั่วทั้งปอด
กำลังขา กำลังกาย อยู่ตัว แข็งแรงจนรู้สึกได้ด้วยตัวเอง
วิว ทิวทัศน์ สองข้างทางลัดเลาะไปตามไหล่เขา
ที่สวยงาม เป็นธรรมชาติ คือ ธรรมชาติบำบัดชั้นดี
ที่รอให้คนมาเห็นคุณค่าอยู่นานแล้ว
เพียงแต่เราเองที่ไม่นิ่งพอจะมอง
ไม่ว่างพอจะใส่ใจ
บึงบัวที่ผลิดอกบัวบานสะพรั่ง
เสียงนกขับขานอยู่เหนือยอดไม้
ราวกับมีเรื่องราวมากมายมานินทามนุษย์ไม่สิ้นสุด
สุนัขสามสี่ตัวที่ผลัดกันมาวิ่งตามเราอย่างเป็นสุข
จนวันไหนหากพวกมันหายไปสักหนึ่งตัว
เราจะรู้สึกขึ้นมาทันทีว่า
วันนี้สมาชิกไม่ครบองค์ประชุม

“อาโรคฺยปรมา ลาภา”
พระพุทธาทรงย้ำเป็นคำไข
สุขภาพสำคัญนั่นปะไร
โปรดอย่าลืมใส่ใจนะพ่อคุณ


กวีนิพนธ์ของพระพุทธองค์
จะมีความหมายอย่างที่สุด
สำหรับคนที่
(๑) สูญเสียสุขภาพที่สมบูรณ์ไปแล้ว เพิ่งมาเห็นคุณค่า
(๒) เมื่อเราเริ่มหันกลับมาดูแลสุขภาพ
และรู้ว่า สุขภาพดีมีผลต่อทั้งชีวิตอย่างไร

การดูแลสุขภาพให้สมบูรณ์
เป็นการเพิ่มพูนความสุข
ที่ต้นทุนน้อย แต่ผลตอบแทนสูงยิ่ง

การฟื้นฟูสุขภาพที่สูญเสียไป
แม้จะทำให้มีความสุข
แต่มีราคาที่เราต้องจ่ายสูงลิ่ว
การเริ่มต้นดูแลสุขภาพตอนที่ยังแข็งแรง
จึงจำเป็นยิ่งกว่า เพราะเป็นทั้งการ “กัน” และ “แก้” อยู่ในตัว

หากมีเงิน เงินส่วนใหญ่ก็อยู่ในธนาคาร หรือในรูปทรัพย์สิน
หากมีรถ เราก็ไม่ได้นำรถไปด้วยทุกที่
หากมีชื่อเสียงเกียรติคุณ
ชื่อเสียงจะมีความหมายก็เฉพาะในที่ที่คนเขารู้จัก
หากมีคนรัก เขาก็ไม่ได้อยู่เคียงข้างเราทุกแห่งหน
แต่หากเรามีโรค หรือ มีสุขภาพดี
สองสิ่งนี้จะอยู่กับเราไปตลอด
มันอยู่ในตัวเรา
มันอยู่กับเรา
มันคือตัวเรา
เราอยู่ไหน
มันอยู่นั่น

เรานอน โรคก็นอน
เรานั่ง โรคก็นั่ง
เรายืน โรคก็ยืน
เราอยู่ไหน โรคอยู่นั่น

เราอยากให้โรคตามเราไปทุกฝีก้าว
หรืออยากให้สิ่งที่ตามเราไปทุกฝีก้าวคือความสุข

การดูแลสุขภาพ
ใครบอกเรา ก็ไม่มีผลเท่าเราบอกตัวเอง
เราต้องอยู่กับตัวเรา
เราต้องมีชีวิตอยู่กับตัวเอง
หากเราไม่รักตัวเอง
คำเตือนนับพัน นับหมื่นข้อความก็ไร้ความหมาย

โชคดีแค่ไหนแล้ว
ที่ไปไหนต่อไหนมีคนถามไถ่และติงเตือนให้ดูแลสุขภาพ
อย่างน้อยมันก็เป็นสิ่งที่ยืนยันว่า
เรายังมีชีวิตอยู่ และยังคงเป็นชีวิตที่มีความหมาย
หากเราเป็นคนที่ไร้ค่า มนุษย์หน้าไหนจะเสียเวลามาห่วงใย

เตือนตนให้ดูแลสุขภาพเสียแต่วันนี้
ยังดีกว่านอนรอกำลังใจจากคนอื่นอยู่ในโรงพยาบาล


การดูแลสุขภาพ

เป็นความรับผิดชอบต่อชีวิตของตัวเราเอง
คนอื่นทำได้อย่างดีที่สุดก็แค่ฝากคำเตือน
หรืออย่างดีที่สุด
ก็แค่ไปเยี่ยมข้างเตียง
แต่ในที่สุดเขาก็ต้องลากลับบ้านอยู่ดี
ส่วนคนที่จะอยู่กับเราไปตลอดเวลา
ทั้งในยามสุขยามทุกข์ก็คือ ตัวเราเอง

รักตัวเอง
เตือนตัวเองให้ดูแลสุขภาพ
ง่ายๆ แค่นี้เอง
แต่หากใครทำได้
พรอันประเสริฐนับพันจะปรากฏตัวขึ้นมาในชีวิตชนิดเห็นผลทันตา


(ว.วชิรเมธี | ๒ มิถุนายน ๖๔)











ขอบคุณรูปภาพจาก Facebook พระเมธีวชิโรดม - ว.วชิรเมธี
https://www.facebook.com/v.vajiramedhi/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 04, 2021, 03:28:31 pm โดย ยาใจ »

ยาใจ

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14201
    • ดูรายละเอียด




จากดักแด้สู่ผีเสื้อ





 กว่าจะเป็นผีเสื้อบินเหนือฟ้า

ล้วนต้องมาจากดักแด้อ่อนแอก่อน

ต้องเจ็บปวดแทบวางวายหลายบทตอน

จึงบินว่อนฟ้ากว้างอย่างเสรี



  กว่าจะลุถึงฝันที่ฝันไว้

ล้วนร้องไห้ล้มลุกขมทุกขี

ต้องเคยท้อแทบตายวายชีวี

ต่างเคยมีวันมืดมิดชีวิตพัง



  แต่เพราะสู้เพราะสร้างไม่ร้างเลิก

เพราะบุกเบิกฟันฝ่าเป็นบ้าหลัง

เพราะไม่ถอยให้ปัญหาประดาดัง

เพราะไม่ยั้งไม่หยุดสะดุดทาง



  จึงเมื่อผ่านคืนวันอันลำบาก

ความทุกข์ยากจึงกำนัลวันสว่าง

ดักแด้น้อยค่อยคลี่ปีกฉีกกรอบกาง

บินสู่ทางเสรีอย่างมีชัย !


(กวีนิพนธ์ : ว.วชิรเมธี)
(ภาพประกอบ : Pepy Soho|Amezing Waterfall)











ขอบคุณรูปภาพจาก Facebook พระเมธีวชิโรดม - ว.วชิรเมธี
https://www.facebook.com/v.vajiramedhi/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 04, 2021, 03:38:16 pm โดย ยาใจ »

ยาใจ

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14201
    • ดูรายละเอียด



  ฝึกบ่มเพาะทัศนคติแบบ “โลกทั้งผองเป็นพี่น้องกัน 

สงครามและสันติภาพ
เป็นสิ่งที่เกิดดับสลับกันตลอดมา
ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของมนุษยชาติ
แม้สันติภาพถาวรจะเกิดขึ้นไม่ได้ตลอดกาล
แต่เราก็ควรร่วมกันจัดสรรสภาพแวดล้อมและเหตุปัจจัย
ให้สถานการณ์ของโลกโน้มเอียงไปอยู่ข้างสันติภาพให้ยาวนานที่สุด

ทุกวันนี้
โลกของเรายังไม่มีสันติภาพอย่างที่ควรจะเป็น
การเหยียดสีผิว
เหยียดเชื้อชาติ
เหยียดศาสนา
เหยียดเพศสภาพ
เหยียดทัศนคติที่ต่างออกไปจากของตน
ว่าเป็นความต่ำต้อยด้อยค่าทั้งตัวคนและตัวทัศนะนั้นๆ

การเหยียดซึ่งกันและกันด้วยนานาสาเหตุเหล่านี้เอง
คือหน่ออ่อนแห่งสงครามในแต่ละภูมิภาคของโลก
และเชื้อแห่งสงครามเหล่านี้
ยังไม่เลือนหายไปไหน
ทว่ายังคงมีอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่งทั่วโลก

แม้แต่ในยุคปัจจุบัน
การรังเกียจกันเองระหว่างคนผิวขาว ผิวดำ
ในสหรัฐอเมริกาก็ยังรุนแรง
และเมื่อมีไวรัสโควิดระบาดในสหรัฐอเมริกา
ก็มีการระบาดของโรคเหยียดคนเอเชียเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งโรค
อันเป็นการซ้ำเติมสังคมอเมริกันและสังคมโลกให้ทรุดต่ำย่ำแย่ลงไปอีก

ในฐานะที่สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่คนทั้งโลกถือกันว่า
เป็นต้นอารยธรรมของโลกในยุคปัจจุบัน
เราจำเป็นจะต้องเรียนรู้ความเป็นไปของประเทศนี้อย่างเท่าทัน
เพื่อที่จะได้เลือกรับอารยธรรมแบบอเมริกันอย่างรอบคอบ
อันไหนที่เห็นว่ายังเป็นปัญหากันอยู่ (เช่น การเหยียดผิว เป็นต้น)
ก็ต้องไม่รับเข้ามาสู่สังคมไทย หรือสู่สังคมโลก
อันไหนที่ดีแล้ว จึงรับเอามาเป็นตัวอย่างได้
และในการรับเอามานั้น
ก็ต้องไม่รับเอามาทั้งดุ้นทั้งกล่อง
แต่ต้องรู้จักประยุกต์ให้สอดคล้องกับสภาพภูมิหลัง
หรือสภาพแวดล้อมของประเทศนั้นๆ อย่างเหมาะสม

เมื่อครั้งทรงส่งพระราชโอรส
ไปศึกษายังภาคพื้นยุโรปนั้น
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เคยตรัสเตือนพระราชโอรสเหล่านั้น
ถึงความรู้จักฝรั่งอย่างเท่าทันว่า

“ให้พึงนึกในใจไว้ว่า
เราไม่ได้มาเรียนจะเปนฝรั่ง
เราเรียนเพื่อจะเปนคนไทยที่มีความรู้เสมอด้วยฝรั่ง”

นอกจากเราคนไทย
ควรจะเรียนรู้ให้เท่าทันฝรั่งแล้ว
ในบางเรื่อง เราควรจะเป็นครูให้ฝรั่งก็ได้ด้วย
เช่น ตอนนี้ที่ฝรั่งทั่วโลกกำลังสนใจสมาธิภาวนา
ในฐานะเป็นเครื่องมือเยียวยาจิตใจที่ยอดเยี่ยม
ในเรื่องเช่นนี้ ฝรั่งต้องเรียนรู้จากคนไทยและพระไทย
รวมทั้งจากพระฝรั่งที่มาเรียนจากครูบาอาจารย์ชาวไทย เป็นต้น

ในฐานะพลเมืองของโลก
เราทุกคนล้วนมีหน้าที่อันหนึ่ง
ที่จะต้องร่วมกันทำ
หรือเพียรพยายามทำในชีวิตนี้
นั่นคือ หน้าที่ในการทำให้คนทั้งโลก
อยู่ร่วมกันดังหนึ่ง “โลกทั้งผองเป็นพี่น้องกัน”
ซึ่งที่ผ่านมาสหประชาชาติก็เพียรทำหน้าที่นี้
ร่วมกับประเทศต่างๆ มาโดยตลอด
จริงอยู่
เรื่องนี้ฟังดูค่อนข้างจะเป็นอุดมคติอยู่มาก
แต่ก็เป็นอุดมคติที่ดีงามอันควรช่วยกันสร้างสรรค์ไว้ให้แก่โลก
เหมือนกับเมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว
ระบอบประชาธิปไตยที่เผยแผ่ไปทั่วโลกในเวลานี้
ก็เคยเป็นเพียงอุดมคติในใจและตีพิมพ์อยู่ในกระดาษไม่กี่หน้ามาก่อน

การจะทำให้แนวคิดโลกทั้งผองเป็นพี่น้องกัน
เป็นความจริงขึ้นมาได้
ต้องอาศัยทั้งการศึกษา
การค้นคว้าวิจัย
การสื่อสารสัมมาทัศนะที่ถูกต้องผ่านสื่อมวลชน
การมีกฎหมายที่ได้มาตรฐานและยุติธรรมสำหรับทุกฝ่าย
การเมืองการปกครองที่เอื้อต่อความเป็นมนุษย์ของทุกคน
และการเผยแผ่แนวคิด “โลกทั้งผองเป็นพี่น้องกัน” ออกไปทั่วโลก
จนเกิดความเปลี่ยนแปลงในทัศนคติของคนทั้งโลก

แม้ภารกิจนี้จะยากยิ่งนัก
แต่เราก็จำเป็นต้องทำ
มิเช่นนั้นแล้ว
เราจะก้าวไม่พ้นศตวรรษแห่งสงคราม
เหมือนในศตวรรษที่ ๒๐ ที่ผ่านมา
ซึ่งเกิดสงครามโลกถึง ๒ ครั้ง
และหนึ่งในโศกนาฏกรรมคราวนั้น
ก็คือ การสังหารชาวยิวกว่า ๖ ล้านคน
ด้วยเหตุผลที่มาจากการเหยียดเชื้อชาติอย่างบ้าคลั่ง
ของฮิตเลอร์และรัฐบาลที่มีเขาเป็นนายกรัฐมนตรี
รวมทั้งผู้คนในยุคสมัยของเขาเองที่มีทัศนคติอันบิดเบี้ยวฝังอยู่ในหัว
จนพลอยเห็นดีเห็นงามไปกับท่านผู้นำอย่างปราศจากความยั้งคิด

การเรียนรู้จากประวัติศาสตร์
ที่เต็มไปด้วยบาดแผลของความผิดพลาดของมนุษยชาติในอดีต
คือ หนทางเดียวในการออกแบบอนาคตที่เราทุกคนจะได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ
ประชาชาติที่ไม่ศึกษาจากประวัติศาสตร์
จะต้องคำสาปให้กลับมาทำผิดซ้ำซากเช่นเดียวกันกับบรรพบุรุษ

หากเราหวังจะอยู่ในโลกร่วมกันอย่างสันติ
ดุจโลกทั้งผองเป็นพี่น้องกัน
เราก็ควรจะพัฒนาทัศนคติแบบ “โลกทั้งผองเป็นพี่น้องกัน”
ดังต่อไปนี้ ให้เกิดขึ้นในเรือนใจให้ได้

๑.ฝึกมองทะลุสมมุติบัญญัติอันห่อหุ้มอยู่ภายนอกของคนทุกคน
เช่น สีผิว สีผม สีตา สัญชาติศาสนา ภาษา เผ่าพันธุ์
ภูมิหลัง ภาษาพูด เพศสภาพ เป็นต้น
โดยตระหนักว่า ความแตกต่างเหล่านี้เป็น
เพียงเปลือกผิวภายนอกของความเป็นคนเท่านั้น
แต่หากกล่าวโดยสาระสำคัญแล้ว

“เราทุกคนล้วนเป็นคนเหมือนกัน
มีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน
ไม่มีใครสูงกว่าใคร ไม่มีใครต่ำกว่าใคร
เพียงเพราะเหตุแห่งความแตกต่างจากภายนอกที่สังเกตเห็นได้เหล่านี้
คนทุกคน เป็นคนที่เท่ากัน
คนทุกคน มีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์เหมือนกัน
คนทุกคนควรค่าแก่การได้รับการเคารพเสมอหน้ากัน
คนทุกคนไม่ควรถูกตัดสินคุณค่าของความเป็นคนจากผิวสี
ภาษา สัญชาติ ศาสนา ประเทศ เพศสภาพ
เพราะคุณค่าอันแท้จริงของคนทุกคนนั้นอยู่ที่ความเป็นมนุษย์ภายใน
ไม่ได้อยู่ที่เปลือกผิวอันตื้นเขินภายนอก ซึ่งเป็นดังเปลือกของผลส้มเท่านั้น”

๒.คนทุกคน คือ คนคนเดียวกัน

“หากมองอย่างผิวเผินในเชิงปริมาณ
โลกนี้มีคนกว่า ๗,๐๐๐ ล้านคน
แต่เมื่อมองเชิงคุณภาพภายในแล้ว
โลกนี้ก็มีคนเพียงคนเดียวเท่านั้น
นั่นคือ คนที่มีความต้องการพื้นฐานเหมือนกันกับเรา
เรารักสุข เกลียดทุกข์ กลัวความตาย ฉันใด
คนอื่นก็รักสุข เกลียดความทุกข์ และกลัวความตาย ฉันนั้นเหมือนกัน
คนทุกคนไม่ว่าจะมีจำนวนเท่าไหร่ก็ตาม
ก็คือ คนคนเดียวกัน
เพราะต่างก็มีความต้องการพื้นฐานเหมือนๆ กัน
หากเรามองคนที่อยู่ตรงหน้า
จนเห็นว่า เขามีความต้องการพื้นฐานเหมือนกันกับเรา
อยากมีชีวิตที่มีสวัสดิภาพเหมือนกันกับเรา
เราก็จะเห็นตัวเองที่อยู่ในคนอื่น
และเห็นคนอื่นที่อยู่ในตัวเรา
หากมองได้อย่างนี้
ก็จะไม่มีคนที่เราควรโกรธ เกลียดชิงชัง
หรือควรประณามหยามหมิ่น”

๓.คนทุกคน คือ สิ่งมีชีวิตเหมือนกัน

“คนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนชาติไหน เชื้อชาติใด พูดภาษาใด
หรือมีผิวสีอะไรก็ตามเถิด แต่เมื่อกล่าวโดยสัจธรรมแล้ว
คนทุกคนก็เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกันทั้งหมดทั้งสิ้น
เมื่อเป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน
ก็ย่อมรักตัวกลัวตายเหมือนกัน
ในฐานะสิ่งมีชีวิตที่เท่าเทียมกัน
เราจึงควรรักกัน เห็นอกเห็นใจกัน
เคารพซึ่งกันและกันและปฏิบัติต่อกัน
ด้วยการให้เกียรติอย่างดีที่สุด
สิ่งใดที่เราเองก็ไม่ต้องการ
เราก็ไม่ควรปฏิบัติสิ่งนั้นต่อคนอื่น”

๔.คนทุกคน คือ เพื่อนร่วมโลกเหมือนกัน

“เวลาที่เราฝึกแผ่เมตตาตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น
พระองค์ทรงสอนให้เราแผ่ความเมตตาปรารถนาดีไปยังสรรพสัตว์
ทั่วโลก ทุกถ้วนหน้า โดยไม่เลือกที่รัก ไม่มักที่ชัง ไม่เลือกปฏิบัติ
เมตตาที่สากล คือ รักคน รักสัตว์ รักสรรพชีวาได้ทั้งโลก
โดยปราศจากการแบ่งแยก
หากเรามองคนทุกคนว่าเป็นเพื่อนร่วมโลกของเรา
เราจะไม่มีจิตคิดร้ายต่อใครเลย
เพื่อน ไม่คิดร้ายต่อเพื่อนฉันใด
เราต้องไม่คิดร้ายต่อมนุษยชาติ
ผู้เป็นเพื่อนร่วมโลกของเรา ฉันนั้น”

๕.คนทุกคนล้วนต้องการคุณภาพชีวิตพื้นฐานเหมือนกัน

“มนุษย์ทุกชาติ ทุกภาษา ทุกสีผิว ทุกเผ่าพันธุ์วรรณะ
ล้วนต้องการมีชีวิตที่มีคุณภาพ
ไม่มีใครอยากมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความทุกข์
อุดมไปด้วยปัญหา
เราทุกคนล้วนอยากมีครอบครัวที่อบอุ่น
อยากมีชีวิตที่ปลอดภัย อยากมีการศึกษาที่ดีเยี่ยม
อยากมีเสรีภาพในการดำเนินชีวิตอย่างเป็นตัวของตัวเอง
อยากมีสิทธิ์ขั้นพื้นฐานที่จะเลือกทำงาน
สร้างเนื้อสร้างตัว แสวงหาความสุขสำราญบานใจ
หรือแสวงหาโอกาสอย่างที่ต้องการ
ได้อย่างเต็มขีดความสามารถโดยไม่ถูกกีดกัน
ไม่ถูกเลือกปฏิบัติ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม
หากเราเข้าใจความจริงที่ว่า
มนุษย์ทุกคนล้วนต้องการมีคุณภาพชีวิตพื้นฐาน
ที่ไม่ต่างกันเช่นที่กล่าวมานี้
เราก็จะต้องร่วมกันสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมให้คนทุกคน
ได้รับในสิ่งที่เป็นคุณภาพชีวิตพื้นฐานเหล่านี้อย่างเสมอหน้ากัน”

๖.คนทุกคนคือคนในครอบครัวเดียวกัน

“มีหลักฐานในทางชีววิทยายืนยันว่า หากสืบสาวลึกลงไปจริงๆ แล้ว
มนุษยชาติทั้งผองล้วนสืบสายมาจากบรรพบุรุษสายพันธุ์เดียวกัน
หากเราเชื่อในหลักฐานของนักวิทยาศาสตร์ดังกล่าวมานี้
เราก็ควรจะกล่าวได้ว่า มนุษยชาติทั้งโลก
ก็คือ คนในครอบครัวเดียวกัน
เรามีบรรพบุรุษมาจากต้นตระกูลเดียวกัน
ดังนั้น เราจึงควรอยู่ร่วมกันด้วยไมตรีจิตมิตรภาพ
ดังหนึ่งคนในครอบครัวเดียวกัน
ในพุทธศาสนา ก็มีมุมมองเช่นนี้เหมือนกัน
พระพุทธองค์เคยตรัสว่า
แทบเป็นไปไม่ได้เลย
ที่เราทุกคนซึ่งต่างก็เคยเวียนว่ายตายเกิดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
จะไม่เคยเป็นญาติพี่น้องกันมาก่อน
ตามหลักการนี้ จึงกล่าวได้ว่า
มีความเป็นไปได้ว่า เราทุกคนในโลก
อาจจะเคยเกี่ยวข้องผูกพันกันมาก่อนแล้วในหลายชาติภพ
ในฐานะคนในครอบครัวเดียวกันในฐานะใดฐานะหนึ่ง
บางคนอาจเคยเป็นพ่อ อาจเคยเป็นแม่
อาจเคยเป็นภริยา สามี ปู่ย่าตายาย
บุตร ธิดา หลาน เหลน ของเรามาก่อน
หากพิจารณาจากมุมมองนี้แล้ว
จึงไม่มีใครเลยที่คู่ควร
แก่ความโกรธเกลียดชิงชังคั่งแค้น
หรือคู่ควรแก่การดูหมิ่นถิ่นแคลนของเรา
คนทุกคน คือ คนในครอบครัวของเรา
เราจึงควรปฏิบัติต่อคนทุกคนด้วยไมตรีจิตมิตรภาพ
ด้วยการให้เกียรติ ยกย่อง เคารพในความเป็นมนุษย์
ผู้เป็นเครือญาติของเราทุกคน”

๗.ปฏิบัติต่อคนทุกคนด้วยปัญญาและความและเห็นอกเห็นใจ

“เราทุกคนล้วนต้องการอยู่ในโลกท่ามกลาง
คนที่พร้อมจะเข้าอกเข้าใจ และเห็นอกเห็นใจคนอื่น
ไม่มีใครปรารถนาจะพบเจอกับคนใจคอโหดร้าย
ที่ไร้เมตตา ปราศจากความเห็นอกเห็นใจหรือความยุติธรรม
หากเราตระหนักถึงความต้องการพื้นฐานในข้อนี้แล้ว
เราก็ควรจะปฏิบัติต่อมนุษยชาติด้วยความเข้าอกเข้าใจ
ว่า คนทุกคนล้วนอยากมีชีวิตที่ดี ล้วนอยากมีสิทธิ เสรีภาพ
ในการดำเนินชีวิต อยากอยู่ในสังคมอย่างมีศักดิ์ศรี และอยาก
ได้รับความเป็นธรรมในการเข้าถึงโอกาส ทรัพยากรต่างๆ
อย่างเสมอบ่าเสมอไหล่กับคนอื่น
จากความเข้าอกเข้าใจความต้องการพื้นฐานเหล่านี้
จะทำให้เราเกิดความเห็นอกเห็นใจคนอื่นว่า อะไรก็ตามที่
คนอื่นเขาต้องการ เขาควรได้รับในการดำรงชีวิต
สิ่งเหล่านั้นแม้เราเองก็ต้องการด้วยเช่นกัน
ดังนั้น เราจึงไม่ควรขัดขวาง ไม่ควรปิดกั้น
ไม่ควรไปพรากเอาสิทธิ์ที่คนเหล่านั้นจะพึงมีพึงได้ไปจากเขา
แต่ควรจะช่วยเขาอย่างเต็มที่ให้ได้ในสิ่งที่เขาคู่ควรจะได้รับ
ดุจเดียวกับที่เราเคยได้รับและควรได้รับเช่นกัน”

๘.มองความแตกต่างหลากหลายว่าเป็นความสวยงามของโลกใบนี้

“ความแตกต่างหลากหลายคือธรรมชาติพื้นฐานของโลกใบนี้
หากโลกนี้มีแต่อะไรที่เหมือนๆ กันไปเสียทั้งหมดทั้งสิ้น
โลกก็คงจะเป็นสถานที่ที่น่าเบื่อที่สุดแห่งหนึ่งในสกลจักรวาล
แต่เพราะโลกเต็มไปด้วยความแตกต่างหลากหลายของคน ของสัตว์
ของสิ่งมีชีวิต และของระบบความคิด ความเชื่อ วัฒนธรรม การเมือง
ตลอดจนถึงของสรรพสิ่งที่เป็นธรรมชาติอันเกิดมีมาเอง และที่มนุษย์
รังสรรค์ขึ้นมา
โลกสีน้ำเงินของเราใบน้ีจึงกลายเป็นโลกที่มีสีสัน มีเสน่ห์
และเป็นโลกที่น่าอยู่ น่าศึกษา น่าเรียนรู้ น่าท่องเที่ยวเป็นที่สุด
และเหนืออื่นใด ความแตกต่างทั้งหมดนั้นมันทำให้โลกของเรา
ต่างออกไปจากดาวเคราะห์ทุกดวงในระบบสุริยจักรวาล
ความหลากหลายทางสีผิว เชื้อชาติ ศาสนา ภาษาพูด เพศสภาพ
ภูมิหลัง ความคิดความเชื่อของประชาคมโลก
ก็คือ สีสันอันแสนมหัศจรรย์ของโลกใบนี้ด้วยเช่นกัน
เราควรมองความแตกต่างหลากหลายที่ปรากฏในตัวมนุษยชาติ
ว่าเป็นความงาม ว่าเป็นเสน่ห์ ว่าเป็นสีสัน ว่าเป็นการเติมเต็ม
ทำให้โลกใบนี้เป็นโลกที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์และน่าอยู่
ด้วยมุมมองอย่างนี้ เราจะยอมรับว่า ความแตกต่างหลากหลาย
ประดามีที่เราพบในเพื่อนมนุษย์ทั่วโลก ไม่ใช่อาชญากรรม ไม่ใช่
คำสาป ไม่ใช่ความเลวร้าย หากแต่มันคือความงาม หากแต่มันคือ
พรอันแสนประเสริฐสำหรับมนุษยชาติ และเราควรอยู่ร่วมกับคนที่
เต็มไปด้วยความแตกต่างหลากหลายด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง และยอม
รับว่า คนทุกคน ทุกความแตกต่าง คือ ความงาม คือการเติมเต็ม และ
คือสีสันของโลก ของอารยธรรมนุษย์
ที่เราชมชอบการเดินป่า
เพราะเรารู้ว่าในป่ามีหลากหลายชีวิต
หลากหลายสีสันของพรรณไม้
หลากหลายโตรกผาลำธารให้เราชื่นชม ฉันใด
เราก็ควรจะเดินเข้าไปในสังคมโลก
ด้วยความชื่นชมในความหลากหลายของผู้คน
ภาษา ศาสนา สีผิว วัฒนธรรม และความเชื่อ
ฉันนั้นเหมือนกัน”

๙.สติ คือ คือ รากฐานของสันติ
องค์ทะไล ลามะ เคยตรัสว่า
“ถ้าหากเยาวชนอายุ ๘ ขวบ
ได้รับการสอนให้รู้จักการฝึกสมาธิ
อย่างถูกต้องแล้ว
เราจะสามารถกำจัดความรุนแรงในโลกนี้ได้
ภายในเวลาเพียง ๑ ชั่วอายุคน...”
ท่านติช นัท ฮันห์ พระวิปัสสนาจารย์
ผู้มีชื่อเสียงระดับโลกเคยกล่าวว่า
“ศานติในเรือนใจ
คือ รากฐานของสันติภาพในโลก”
ซึ่งก็สอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธองค์
ที่ตรัสว่า “ไม่มีสุขใดยิ่งไปกว่าสันติสุข”
คนที่ฝึกสมาธิภาวนาอยู่เสมอ
จนมีสติประจำอยู่ในเรือนใจ
ย่อมจะมีปัญญาสว่างไสว
มองเห็นความเชื่อมโยงของคน
และสรรพชีวิตทั้งโลกว่าเป็นดังหนึ่ง
พี่น้องกัน ดังนั้น ท่านผู้ตื่นแล้วเหล่านี้
จึงมีชีวิตที่เกื้อกูลต่อสันติภาพและสันติสุข
เมื่อใจของท่านสงบ กายและวาจาของท่าน
ก็สงบ ท่านดำรงชีวิตอยู่ตรงไหน ก็เหมือนกับ
มีพลังงานแห่งสันติภาพสถิตอยู่ตรงนั้น
สันติส่วนบุคคล จึงส่งผลต่อสันภาพของโลก
โดยรวม กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า “สติของคนคนหนึ่ง
จะส่งผลถึงคนอีกคนหนึ่งเสมอไป” หรือ “สันติใน
เรือนใจของคนคนหนึ่ง จะส่งผลถึงสันติสุขของคน
ทั้งโลก”
สันติในใจคน จึงเป็นรากฐานของสันติในโลก
เราจำเป็นต้องบ่มเพาะพลังงานแห่งสติที่เป็นราก
ฐานแห่งสันติภาพที่ยั่งยืน คือการมีชีวิตที่เปี่ยมด้วย
ความรู้ตัวทั่วพร้อมให้เกิดมีขึ้นในใจของปัจเจกชน
ให้เพิ่มเป็นทวีตรีคูณ จนพลังของปัจเจกบุคคลที่ตื่นแล้ว
กลายเป็นพลังงานแห่งความตื่นรู้ร่วมกันของคนทั้งสังคม
หรือของคนทั้งโลก ซึ่งหากเป็นไปได้ก็จะเป็นวิธีสร้างสรรค์
สันติภาพที่ยั่งยืนที่สุด และใช้ต้นทุนน้อยที่สุด
เพราะอุปกรณ์ของการสร้างสันติภาพชนิดนี้
มีอยู่แล้วในตัวเราทุกคน นั่นคือ กาย วาจา และใจของ
เราแต่ละคนนั่นเอง

(ว.วชิรเมธี|๓ มิถุนายน ๒๕๖๔)









ขอบคุณรูปภาพจาก Facebook พระเมธีวชิโรดม - ว.วชิรเมธี
https://www.facebook.com/v.vajiramedhi/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 04, 2021, 03:40:43 pm โดย ยาใจ »

ยาใจ

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14201
    • ดูรายละเอียด
“ในอ้อมกอดแม่” - พระเมธีวชิโรคม ( ว.วชิรเมธี )
« ตอบ #161 เมื่อ: มิถุนายน 04, 2021, 03:42:20 pm »




    ในอ้อมกอดแม่ 


ในโอบกอดธรรมชาติพิลาสนัก
เปี่ยมความรักหอมละมุนอุ่นเกศี
ปลอดเวรภัยสุขสงบสบสุนทรีย์
พระแม่มีแต่มนตราการุณย์รัก

ลูกยังชีพยืนชนม์เป็นคนอยู่
ลูกหมายรู้ส่ำสิ่งความจริงหลัก
ลูกยิ่มรื่นชื่นใจละไมนัก
ในหน้าตักของแม่ผู้แผ่พร

โอ้...ข้าแต่มิ่งแม่ธรรมชาติ
แม่สะอาดทั้งในนอกไม่หลอกหลอน
แม่ให้ชีพให้สิ่งสรรพ์หมั่นอาทร
แม่หนาวร้อนเพราะรักลูกปลูกชีวา

แต่แม่จ๋า...ลูกประชาสากลโลก
กลับสร้างโศกใส่แม่แพ้ตัณหา
มาจากแม่ ทำลายแม่ แผ่อัตตา
ใบ้บอดบ้าอกตัญญูเหมือนงูพิษ !


(กวีนิพนธ์ : ว.วชิรเมธี)
(ภาพประกอบ : Nature Nurture)








ขอบคุณรูปภาพจาก Facebook พระเมธีวชิโรดม - ว.วชิรเมธี
https://www.facebook.com/v.vajiramedhi/

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 25, 2021, 01:26:47 pm โดย ยาใจ »

ยาใจ

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14201
    • ดูรายละเอียด
“อาเพศพยากรณ์” - พระเมธีวชิโรคม ( ว.วชิรเมธี )
« ตอบ #162 เมื่อ: มิถุนายน 25, 2021, 06:26:08 am »



อาเพศพยากรณ์

คำทำนายแต่เบาราณท่านว่าไว้
“สุริยาจะลุกไหม้จนฟ้าเหลือง
มหาสมุทรจะคลุ้มคลั่งประนังเนือง
น้ำจะเฟื่องถึงฟ้าปลากินดาว”

“ใช่หน้าร้อนก็จะร้อนทะลุโลก
ใช่หน้าฝนฝนจะโชกจนเปียกฉาว
ใช่หน้าแล้งก็จะแล้งเหือดแห้งยาว
ใช่หน้าหนาวก็จะหนาวเหน็บทรวงใน”

มาบัดนี้ถึงเพลาท่านว่าแล้ว
ตะวันแก้วร้อนลุกจวนสุกไหม้
เขาน้ำแข็งเสียดฟ้าหิมาลัย
ค่อยครรไลหลากสู่หมู่ประชา

ฟ้าสีฟ้ามาบัดนี้เป็นสีหม่น
ทะเลปนเศษซากกากตัณหา
พลาสติกลอยล่องคล้องคอปลา
ยังไฟป่าถ่อยเถื่อนเหมือนมีกรรม

สิทธิการิยะบอกอาเพศ
ชวนสังเวชมนุษย์เอ๋ยเลยถลำ
หากไม่ตื่นไม่ลืมตาแก้อาธรรม
กลียุคจะขย้ำอย่างยับเยิน !

(กวีนิพนธ์ : ว.วชิรเมธี)
(ภาพประกอบ : Marek Jackoski)
(วันสิ่งแวดล้อมโลก : ๕ มิถุนายน ๒๕๖๔)






ขอบคุณรูปภาพจาก Facebook พระเมธีวชิโรดม - ว.วชิรเมธี
https://www.facebook.com/v.vajiramedhi/

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 25, 2021, 01:41:57 pm โดย ยาใจ »

ยาใจ

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14201
    • ดูรายละเอียด



เบา เบา กับโลกหน่อย

ค่อยแตะนิดต้องหน่อยแต่น้อยหนึ่ง
ปางเสพซึ้งสุนทรีย์รุจีหวาน
ถนอมนวลปวงบุปผาลดามาลย์
ไม่หักหาญห่ามหินจนกินเพลิน

โดยสายกลางอย่างพอดีเช่นนี้หรอก
โลกไม่ชอกช้ำหนักไม่หักเหิน
ทรัพยามากมายดีจักมีเกิน
จึงจำเริญเลี้ยงหล่อต่อยาวนาน

โลกนี้ใช่สมบัติสัตว์มนุษย์
ส่ำวิสุทธิ์ปราณชีวามหาศาล
ก็เจ้าของโลกนี้ด้วยช่วยทำงาน
โลกตระการเพราะไม่ครองแต่ผองคน

มนุษย์เพียงผงคลีธุลีหมอก
จ้อยกระจอกจักรวาลตระการผล
วางอัตตาบ้าบอดถอดมัวมน
ส่ำสัตว์คนโดยศักดิ์ศรีมีเท่ากัน

(กวีนิพนธ์ : ว.วชิรเมธี)
(ภาพประกอบ : Javier Zuvita Wildlife)
(วันสิ่งแวดล้อมโลก : ๕ มิถุนายน ๒๕๖๔)








ขอบคุณรูปภาพจาก Facebook พระเมธีวชิโรดม - ว.วชิรเมธี
https://www.facebook.com/v.vajiramedhi/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 25, 2021, 01:42:22 pm โดย ยาใจ »

ยาใจ

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14201
    • ดูรายละเอียด
“ในอ้อมกอดโลก” - พระเมธีวชิโรคม ( ว.วชิรเมธี )
« ตอบ #164 เมื่อ: มิถุนายน 25, 2021, 06:28:42 am »



ในอ้อมกอดโลก

ยามวักน้ำล้างหน้าเพลาเช้า
ฉันวักเอาเลือดในอกจากกกป่า
ยามดื่มน้ำดับกระหายหมายเยียวยา
มวลเมฆาลอยล่องผองวารี

ยามบดเคี้ยวผลไม้ป่าโอชารส
พลันปรากฏฝนโปรยไพรละไมศรี
ยามจิบชากรุ่นหอมดอมฤดี
คนสวนลีลาสวยในถ้วยชา

ยามดุ่มเดินจงกรมบนพรมพฤกษ์
ฉันรู้สึกสัมผัสรักบนตักหนา
จากมิ่งแม่ธรณีสุนทรียา
กางหัตถาโอบอุ้มเผยจุมพิต

ยามนั่งนิ่งอิงองค์ในดงไผ่
ฉันอุ่นไอปวงปราชญ์ญาติสนิท
ดั่งคบหามานานสมานมิตร
สำราญจิตโปร่งใจละไมมุน

ยามฉันยืนเดินนอนนั่งระวังสติ
กลางธรรมผลิผุดพรายสัปปายสุนทร์
ฉันสว่างแก่ใจในพระคุณ
ที่โลกหนุนโลกนำค้ำชีวา

(กวีนิพนธ์ : ว.วชิรเมธี)
(ภาพประกอบ : สันติสุข รามวาณิช)







ขอบคุณรูปภาพจาก Facebook พระเมธีวชิโรดม - ว.วชิรเมธี
https://www.facebook.com/v.vajiramedhi/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 25, 2021, 01:42:34 pm โดย ยาใจ »