ผู้เขียน หัวข้อ: ดาวน์โหลด รวม E-Book - พระไพศาล วิสาโล และหนังสือใหม่ที่น่าสนใจ*ล่าสุด*  (อ่าน 95928 ครั้ง)

ยาใจ

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14170
    • ดูรายละเอียด


ดาวน์โหลดหนังสือ

คลิ๊ก => http://www.visalo.org/book/ALLDownload.htm



* หนังสือใหม่ *

คลิ๊ก => http://www.visalo.org/book/index.htm


ที่มา :  http://www.visalo.org



-------------------------------------------------------------------------

คลิ๊ก =>  http://www.pasukato.org/read_dhamma.html


ที่มา : เว็บไซต์วัดป่าสุคะโต
http://www.pasukato.org/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 07, 2017, 06:10:25 am โดย ยาใจ »

ยาใจ

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14170
    • ดูรายละเอียด
แนะนำหนังสือใหม่



สุขทุกลมหายใจ
โดย พระไพศาล วิสาโล

คำปรารภ
ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ ความสุขก็หาใช่สิ่งไกลตัวไม่ ที่จริงแล้วความสุขอยู่ที่ลมหายใจนั้นเอง เพียงแค่น้อมจิตมาอยู่ที่ลมหายใจทั้งเข้าและออก รับรู้สัมผัสที่ปลายจมูกเบา ๆ พร้อมกับวางความนึกคิดทั้งปวง ก็จะสัมผัสได้ถึงความสงบเย็น โปร่งโล่ง และเบาสบาย

ความสุขนั้นมีอยู่กับเราตลอดเวลา เป็นแต่เรามองไม่เห็นเอง เพียงแค่หันมาชื่นชมสิ่งที่เรามีอยู่ ก็เป็นสุขได้ไม่ยาก แต่เป็นเพราะเรามัวนึกถึงสิ่งที่ตนยังไม่มี หรือสิ่งที่สูญเสียไป ความทุกข์จึงกลุ้มรุมจิตใจ และเมื่อใดที่หวนอาลัยอดีตหรือกังวลกับอนาคต ใจก็ปิดรับความสุขในปัจจุบันขณะทันที

ไม่ต้องมองหาความสุขที่ไหน แค่เปิดใจรับรู้สิ่งดี ๆ ที่มีอยู่รอบตัว รวมทั้งหยั่งใจให้สัมผัสถึงความสงบเย็นภายใน ก็จะพบสิ่งที่แสวงหามาช้านาน ในยามที่จิตใจเป็นทุกข์ เพียงแค่เป็นมิตรกับลมหายใจ ก็จะพบว่าลมหายใจสามารถดับความรุ่มร้อนภายใน ปลดเปลื้องความหนักอึ้งไปจากจิตใจ มีความโปร่งเบามาแทนที่

บทความในหนังสือเล่มนี้ เขียนและบรรยายในโอกาสต่าง ๆ กัน แต่ชี้ไปที่สิ่งเดียวกัน นั้นคือความสุขนั้นมีอยู่กับเราแล้วทุกขณะ หากวางใจให้เป็นก็เห็นความสุขได้ไม่ยาก หวังว่า สุขทุกลมหายใจ จะช่วยให้ผู้อ่านค้นพบสิ่งวิเศษที่มีอยู่แล้วกับตัวและในทุกลมหายใจ

พระไพศาล วิสาโล
๒๐ มีนาคม ๒๕๕๔


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



แนะนำหนังสือ ยิ้มได้แม้พ่ายแพ้

โดย พระไพศาล วิสาโล


คำปรารภ
นอกจากเพศรส ความหนุ่มสาว และความสนุกสนานแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นยอดปรารถนาของคนส่วนใหญ่ในยุคบริโภคนิยม ได้แก่ ความสำเร็จ ซึ่งมักชี้วัดด้วยจำนวนทรัพย์สินเงินทอง ตำแหน่งหน้าที่ และชื่อเสียงเกียรติยศ ความสำเร็จดังกล่าวได้กลายเป็นตัวนิยามความหมายและคุณค่าของชีวิตผู้คน รวมทั้งถูกยกระดับให้กลายเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิต แม้มันจะมีเสน่ห์และความหอมหวน ทำให้ผู้คนมีความสุขในยามที่ได้ครอบครองมัน แต่ในเวลาเดียวกันมันก็เป็นที่มาแห่งความทุกข์ของผู้คน เช่นเดียวกับทรัพย์สินเงินทอง ตำแหน่งหน้าที่ และชื่อเสียงเกียรติยศ ความสำเร็จเป็นสิ่งที่ไม่จิรังยั่งยืน ดังนั้นเราไม่เพียงต้องเหนื่อยกับการไขว่คว้าไล่ล่ามันเท่านั้น หากยังต้องทุกข์กับการรักษามันเพื่อมิให้หลุดลอยไป แต่ไม่ว่าจะเพียรพยายามเพียงใดในที่สุดมันก็ต้องพลัดพรากจากเราไป มิพักจะต้องกล่าวว่าแม้ในขณะที่มันยังอยู่กับเรา เสน่ห์ของมันก็จืดจางลงไปเรื่อย ๆ จนมีความหมายกับเราน้อยลง

การไต่เต้าดิ้นรนเพื่อบรรลุความสำเร็จเป็นเรื่องยาก แต่ที่ยากกว่าคือการรักษาความสำเร็จ แม้กระนั้นสิ่งที่ยากที่สุดคือการลงจากความสำเร็จโดยไม่เจ็บปวด น่าแปลกก็คือขณะที่มีหนังสือประเภท how to เพื่อบรรลุความสำเร็จ ออกมาเต็มท้องตลาด แต่กลับแทบไม่มีหนังสือ how to ในยามที่ต้องก้าวลงจากความสำเร็จ ทั้ง ๆ ที่เป็นสิ่งที่ทุกคนที่บรรลุความสำเร็จย่อมต้องประสบไม่วันใดก็วันหนึ่ง ใคร ๆ ก็ย่อมปรารถนาชัยชนะ แต่ชีวิตก็เหมือนเกมกีฬา ที่ต้องมีชนะและแพ้ ไม่มีใครชนะได้ตลอด ในเมื่อความพ่ายแพ้เป็นธรรมดาของชีวิต เราจึงควรเรียนรู้ที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ด้วยใจที่ไร้ทุกข์ จะว่าไปแล้วนี้เป็นสิ่งสำคัญกว่าการดิ้นรนแสวงหาชัยชนะด้วยซ้ำ การยิ้มเมื่อได้รับชัยชนะนั้นใคร ๆ ก็ทำได้ แต่ที่ยากก็คือยิ้มได้แม้ในยามที่พ่ายแพ้ มิใช่คนขี้แพ้ที่สามารถทำเช่นนั้นได้ จำเพาะผู้ที่มีปัญญาแลเห็นว่ายังมีสิ่งอื่นที่มีคุณค่ามากกว่าชัยชนะ รวมทั้งตระหนักถึงความไม่จิรังยั่งยืนของความสำเร็จ ยิ่งสามารถละวางความยึดติดถือมั่นในความเป็นผู้ชนะหรือผู้แพ้ด้วยแล้ว ความล้มเหลวหรือความพ่ายแพ้ย่อมมิอาจทำใจให้หวั่นไหวได้เลย

ความสำเร็จหรือความล้มเหลวเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิต ยังมีสิ่งอื่นอีกมากมายที่สำคัญต่อชีวิตของเรา หรือสำคัญยิ่งกว่า เช่น การทำความดี เอื้อเฟื้อเกื้อกูลผู้อื่น การเป็นอิสระจากความผันผวนปรวนแปรต่าง ๆ ของโลก และการละวางความยึดติดถือมั่นในตัวตน ฯลฯ ประเด็นเหล่านี้ได้ประกอบกันเป็นหนังสือเล่มนี้ โดยข้อเขียนทั้ง ๑๘ บทเคยปรากฏมาก่อนในคอลัมน์ “รับอรุณ” และ “ริมธาร” ในนิตยสารสารคดี ระหว่างปี ๒๕๕๒-๒๕๕๓ บทความเหล่านี้เมื่อครั้งตีพิมพ์ในนิตยสารสารคดี ได้รับการดูแลตรวจตราทางด้านข้อมูลด้วยความเอาใจใส่ของคุณเพ็ญศิริ จันทรประทีปฉาย ซึ่งในเวลานั้นเป็นหัวหน้ากองบรรณาธิการ ข้าพเจ้าจึงขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วย

พระไพศาล วิสาโล
๘ ธันวาคม ๒๕๕๓
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 04, 2011, 08:50:10 pm โดย ยาใจ »

ยาใจ

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14170
    • ดูรายละเอียด



พรุ่งนี้หรือชาติหน้า ไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะมาก่อน
โดย พระไพศาล วิสาโล


คำปรารภ
ประมาณปี ๒๕๕๐ ข้าพเจ้าได้รับนิมนต์ไปออกรายการของสถานีวิทยุสังฆทานธรรม เพื่อสนทนาเกี่ยวกับชีวิตและงานของข้าพเจ้า ตั้งแต่วัยหนุ่มก่อนบวชจนถึงปัจจุบัน โดยในส่วนหลังนั้นเน้นหนักที่การอบรมเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยระยะสุดท้าย ซึ่งได้ทำมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี ๒๕๔๗

ต่อมาได้มีการนำคำสนทนาครั้งนั้นไปเผยแพร่ในรูปซีดีร่วมกับคำบรรยายแก่สมาชิกชมรม คนรู้ใจในช่วงใกล้ ๆ กัน จนกระทั่งเมื่อกลางปีที่แล้วสำนักพิมพ์อมรินทร์แจ้งความจำนงว่าประสงค์จะนำเนื้อหาทั้งหมดในซีดีดังกล่าวมาตีพิมพ์เป็นหนังสือ เนื่องจากเห็นว่ามีสาระที่ควรเผยแพร่แก่คนวงกว้าง ในการจัดทำต้นฉบับนั้นได้มีการเรียบเรียงตัดต่อเพื่อให้เหมาะกับการอ่านมากขึ้น ดังปรากฏแก่ท่านในบัดนี้

หนังสือเล่มนี้แม้มีเนื้อหาที่ค่อนข้างหลากหลาย แต่เน้นหนักเรื่องการเตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับความตาย ประสบการณ์ดังกล่าวส่วนใหญ่เกิดจากการที่ข้าพเจ้าได้เป็นวิทยากรให้กับโครงการเผชิญความตายอย่างสงบ ซึ่งเครือข่ายพุทธิกาทำร่วมกับเสมสิกขาลัย โครงการดังกล่าวเริ่มต้นจากความคิดที่ต้องการแนะนำวิธีช่วยเหลือทางจิตใจแก่ผู้ใกล้ตาย ซึ่งฆราวาสหรือญาติพี่น้องก็สามารถทำได้ ต่อมาก็ได้รับความสนใจจากแพทย์และพยาบาลในโรงพยาบาลต่าง ๆ ซึ่งไม่ต้องการเห็นคนไข้ตายด้วยความทุรนทุราย หลายคนได้พบว่า สาระที่ได้จากการอบรมดังกล่าวยังมีประโยชน์ในการเตรียมตัวเตรียมใจตนเองให้พร้อมเผชิญความตาย รวมทั้งกระตุ้นเตือนให้เกิดความไม่ประมาทในชีวิต หมั่นสร้างกุศล และเร่งทำความดีโดยไม่ผัดผ่อน

ความจริงอย่างหนึ่งที่ผู้คนไม่อยากนึกถึงก็คือ ความตายสามารถเกิดกับเราได้ทุกเวลา การเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมเผชิญความตายอยู่เสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ แต่คนส่วนใหญ่กลับมองข้ามความจริงข้อนี้โดยให้เหตุผลว่าความตายเป็นเรื่องไกลตัว แท้จริงแล้วความตายอยู่ใกล้ตัวเราอย่างยิ่ง มีภาษิตธิเบตกล่าวว่า “ระหว่างพรุ่งนี้กับชาติหน้า ไม่มีใครรู้หรอกว่าอะไรจะมาก่อน” นี้คือความจริงที่ใครเล่าจะกล้าปฏิเสธ ใครที่คิดว่าพรุ่งนี้จะมาก่อนชาติหน้า ล้วนแต่คาดเดาด้วยความประมาททั้งนั้น เพราะเราแน่ใจได้อย่างไรว่า วันนี้จะไม่ใช่วันสุดท้ายของเรา พ้นจากวันนี้ไปแล้วก็อาจเป็นชาติหน้าเลย หามีพรุ่งนี้ไม่

หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาที่หวังว่าจะช่วยเตือนใจผู้อ่านไม่ให้ประมาทในชีวิตและความตาย สำนักพิมพ์อมรินทร์จึงขอนำภาษิตธิเบตดังกล่าวมาเป็นชื่อหนังสือ ข้าพเจ้าขออนุโมทนาในกุศลเจตนาของสำนักพิมพ์ และขอขอบคุณคุณตรีคิด อินทรขันตี ซึ่งริเริ่มให้เกิดมีหนังสือเล่มนี้ขึ้น

พระไพศาล วิสาโล




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 12, 2011, 05:18:48 am โดย ยาใจ »

ยาใจ

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14170
    • ดูรายละเอียด



คำปรารภ
คนส่วนใหญ่มักคิดถึงการอยู่ดีมีสุข แต่น้อยคนที่นึกถึงการตายดี ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่ช้าก็เร็วความตายก็จะต้องเกิดขึ้นแก่ตน ดังนั้นสิ่งที่มักเกิดขึ้นก็คือ เมื่อถึงคราวป่วยหนักหรือใกล้สิ้นลม ผู้คนจึงตื่นตระหนก ทุรนทราย เพราะไม่เคยเตรียมตัวเตรียมใจสำหรับการตายดีเลย

การตายดีนั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่มิอาจทำได้ด้วยการวิงวอนร้อนขอ และไม่ได้ขึ้นอยู่กับทรัพย์สมบัติหรืออำนาจ แม้ร่ำรวยแค่ไหน ยิ่งใหญ่เพียงใด ก็อาจหลงตายหรือตายอย่างทุรนทุรายก็ได้ เงินซื้ออะไรต่ออะไรได้มากมายก็จริง แต่อย่างหนึ่งที่เงินซื้อไม่ได้ก็คือ ความสงบในวาระสุดท้ายของชีวิต อำนาจอาจสนองกิเลสของผู้คนได้มากมายหลายประการ แต่มิอาจช่วยให้ใครตายดีได้เลย

บุคคลจะตายดีได้ก็ด้วยการหมั่นฝึกฝนอยู่เสมอ เริ่มต้นด้วยการทำความดี หลีกหนีความชั่ว และฝึกใจให้มีสติและปัญญา ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นด้วยใจที่ไม่หวั่นไหว และพร้อมปล่อยวางทุกสิ่งเมื่อถึงคราวพลัดพรากสูญเสีย จะว่าไปแล้วทั้งหมดนี้ยังช่วยให้เราสามารถอยู่ในโลกนี้อย่างมีความสุข จิตใจไม่ขึ้นลงไปตามเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่มากระทบ ดังนั้นจึงช่วยให้เราอยู่ดีอย่างแท้จริง ถ้ารู้จักตายดี การอยู่ดีก็ไม่ใช่เรื่องยาก

เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ตัดทอนมาจาก ตื่นก่อนตาย ซึ่งสำนักพิมพ์ lazy day ได้ตีพิมพ์เมื่อปีที่แล้ว การพิมพ์ครั้งใหม่นี้ผู้พิมพ์ประสงค์จะให้หนังสือเผยแพร่กว้างขวางขึ้นกว่าเดิม จึงจัดทำให้มีรูปเล่มเล็กลงและราคาย่อมเยา หวังว่า เอาชนะความตาย ด้วยหัวใจที่ปล่อยวาง จะช่วยให้ทุกท่านเกิดความไม่ประมาทในชีวิตและพร้อมรับมือกับความตายด้วยใจสงบเมื่อวันนั้นมาถึง

พระไพศาล วิสาโล
๒๕ เมษายน ๒๕๕๔
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 06, 2012, 03:38:05 pm โดย ยาใจ »

ยาใจ

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14170
    • ดูรายละเอียด
แนะนำหนังสือใหม่
« ตอบ #4 เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2011, 03:25:29 pm »


สุขประณีต
หนทางสู่ความสงบเย็น ที่ซ่อนเร้นอยู่กลางใจเรา


คำปรารภ
มนุษย์ทุกคนย่อมปรารถนาความสุข แต่น่าสงสัยว่าเรารู้จักความสุขที่กำลังแสวงหาดีแล้วหรือ ทุกวันนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นแต่ผู้คนที่ใฝ่หาแต่ความสุขจากวัตถุเป็นหลัก และทำทุกอย่างเพื่อความสุขดังกล่าว โดยหาได้ตระหนักไม่ว่ามีความสุขที่ประเสริฐกว่านั้น ใช่แต่เท่านั้นบ่อยครั้งการไล่ล่าหาความสุขทางวัตถุ กลับทำให้เราต้องสูญเสียความสุขที่ประเสริฐกว่าไป ดังนั้นเราจึงพบว่ามีผู้คนเป็นอันมากแม้จะมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย มีชีวิตที่สะดวกสบาย แต่ในใจนั้นหาความสุขไม่ได้เลย แม้เขาจะมีเกือบทุกอย่างที่ชีวิตต้องการ แต่มีอย่างหนึ่งที่ขาดหายไป นั่นคือ ความสุขอันประณีต

ความสุขอันประณีตนั้นไม่ได้เกิดจากการเสพหรือเอาเข้าตัวให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แต่เกิดจากการสละออกไปจนจิตใจโปร่งเบา ไม่ได้เกิดจากการมีสิ่งเร้าจิตกระตุ้นใจ แต่เกิดจากใจที่สงบรำงับ ความสุขชนิดนี้นอกจากทำให้เรารู้จักพอและไม่ตกเป็นทาสของวัตถุแล้ว ยังประสานใจเราให้เป็นหนึ่งเดียวกับผู้คนรอบข้างและธรรมชาติแวดล้อม ที่สำคัญไม่น้อยกว่ากันก็คือ ทำให้เราเป็นมิตรกับตนเองได้อย่างสนิทแนบแน่น ก่อให้เกิดสันติภาพทั้งภายในและภายนอก ตรงข้ามกับความสุขทางวัตถุที่มักนำไปสู่ความร้าวฉานรุนแรงทั้งกับตนเองและกับผู้อื่น จนถึงกับเกิดสงครามและการทำลายธรรมชาติแวดล้อม

หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องราวของความสุขอันประณีตในแง่มุมต่าง ๆ บทความทั้ง ๒๕ บทนี้เคยพิมพ์ในนิตยสาร Life & Family ช่วงปี ๒๕๔๒-๒๕๔๘ และต่อมาได้รวมพิมพ์เป็นเล่มจำนวน ๔ เล่ม ในการพิมพ์ครั้งนี้สำนักพิมพ์บีไบรท์ได้คัดเลือกบทความเหล่านี้จากบางเล่มของชุดดังกล่าวมาพิมพ์ใหม่ เนื่องจากเห็นว่าหนังสือชุดนี้ได้ขาดตลาดไปนานแล้ว

หวังว่าสุขประณีต จะช่วยให้ผู้อ่านค้นพบความสุขอันประเสริฐซึ่งมีอยู่แล้วในใจตน

รินใจ
๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๔



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 31, 2011, 12:27:58 am โดย ยาใจ »

ยาใจ

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14170
    • ดูรายละเอียด


คำปรารภ

พุทธศาสนามิได้อยู่ในสุญญากาศ หากเกิดขึ้นและดำรงอยู่ท่ามกลางสังคมแวดล้อม การดำรงอยู่คู่กันมาช้านานได้ทำให้ทั้งสองต่างพึ่งพิงซึ่งกันและกัน ขณะเดียวกันก็มีผลกระทบต่อกันและกันด้วย พุทธศาสนาที่เจริญมั่นคงย่อมช่วยให้สังคมมีความผาสุก ในทางกลับกันความเจริญก้าวหน้าของสังคมก็เป็นปัจจัยสำคัญแห่งความตั้งมั่นของพุทธศาสนา

อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างพุทธศาสนากับสังคมไม่ได้มีลักษณะที่เกื้อกูลกันเสมอไป บางครั้งก็เป็นไปในทางที่บั่นทอนกัน ความเสื่อมทรุดของสังคมมีผลทำให้พุทธศาสนาอ่อนแอลง เช่นเดียวกับที่ความเรรวนตกต่ำทั้งในทางความเชื่อและสถาบันของพุทธศาสนาก็ผลักดันให้สังคมเข้าสู่วิกฤตเร็วเข้า

วิญญูชนย่อมมิอาจปฏิเสธว่า สถานการณ์อย่างหลังมิได้กำลังเกิดขึ้นกับเมืองไทยในขณะนี้ ประเด็นมิได้อยู่ที่การโทษว่าความเสื่อมโทรมตกต่ำนั้นเริ่มที่ฝ่ายใดก่อน ข้อสำคัญที่ควรตระหนักมากกว่าก็คือ สังคมไทยกับพุทธศาสนานั้น อันใดอันหนึ่งจะเจริญก้าวหน้าโดยละเลยอีกอันหนึ่งหาได้ไม่ หากต้องการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่พุทธศาสนา เราต้องช่วยกันทำให้สังคมไทยเข้มแข็งขึ้นด้วย ในทำนองเดียวกันการฟื้นฟูสังคมไทยให้พ้นจากวิกฤต ย่อมไม่อาจแยกขาดจากการฟื้นฟูพุทธศาสนาได้เลย

พุทธศาสนาไทยต้องการการฟื้นฟูและปรับปรุงอย่างเร่งด่วน ทั้งในด้านหลักธรรมและสถาบัน ซึ่งโยงไปถึงการปฏิบัติทางศาสนา สองภาคแรกของหนังสือเล่มนี้พูดถึงประเด็นดังกล่าว โดยได้เสนอทางออกเอาไว้ด้วย แต่จะเป็นไปได้ก็ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจจากประชาชนทุกภาคส่วนในสังคม โดยไม่จำกัดแต่เฉพาะมหาเถรสมาคมหรือรัฐบาลเท่านั้น ปราศจากความตื่นตัวและร่วมมือจากสังคม พุทธศาสนาไทยย่อมมีอนาคตที่มืดมน

ส่วนสองภาคหลังว่าด้วยความจำเป็นในการนำหลักธรรมมากำกับทิศทางของสังคมไทย ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้ถลำลึกเข้าไปในกระแสแห่งความรุนแรงและวัตถุนิยม ซึ่งกำลังเชี่ยวกราก ไม่ว่าในระดับสังคมหรือระดับบุคล มิติด้านศาสนธรรมเป็นสิ่งจำเป็น ไม่มีอะไรที่สังคมต้องการยิ่งไปกว่าสันติภาพ ไม่มีอะไรที่ชีวิตต้องการยิ่งไปกว่าความสงบเย็น ปราศจากมิติด้านศาสนธรรม สันติภาพและความสงบเย็นมิอาจเกิดขึ้นได้

วิถีพุทธและวิถีไทไม่ว่าระดับสังคมหรือบุคคลมิอาจแยกกันได้ การถางทางท่ามกลางความมืดมนต้องอาศัยแสงไฟฉันใด การสานก่อวิถีไทในยุควัตถุนิยมก็จำต้องอาศัยภูมิปัญญาจากพุทธศาสนาเป็นเครื่องส่องสว่างฉันนั้น หนังสือเล่มนี้คือคำเชิญชวนให้ชาวพุทธทั้งหลายร่วมกันระดมกำลังเพื่อส่องสว่างและถางทางไทให้ปรากฏเป็นจริง

ข้อเขียนทั้งหลายที่ประกอบกันขึ้นเป็น ส่องสว่างทางไท เกือบทั้งหมดเคยตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์รายวัน นับแต่ปี ๒๕๔๓ จนถึงปัจจุบัน ส่วนใหญ่มาจากคอลัมน์ “มองอย่างพุทธ” ใน มติชนรายวัน ในการรวมพิมพ์ครั้งนี้ได้ปรับปรุงแก้ไขบ้างเล็กน้อยเพื่อให้เหมาะแก่การพิมพ์รวมในที่เดียวกัน และมีบางบทที่ได้คัดออกไปเพราะมีเนื้อหาที่ซ้ำซ้อนและเพื่อมิให้หนังสือหนาเกินไป

ส่องสว่างทางไท พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๔๗ บัดนี้ได้ขาดตลาดไปนานแล้ว สำนักพิมพ์ดวงตะวันประสงค์จะตีพิมพ์ใหม่ ข้าพเจ้ายินดีอนุญาตตามความประสงค์

พระไพศาล วิสาโล
๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๔



ยาใจ

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14170
    • ดูรายละเอียด



ใจของเรานั้นมีทั้งพลังบวกและพลังลบ พลังลบอันได้แก่ความโกรธ เกลียด เครียด ท้อ นั้นล้วนมีที่มาจากอัตตาหรือความเห็นแก่ตัว ส่วน พลังบวก คือ ความรัก ความเมตตา ความเสียสละ ล้วนมีมโนธรรมเป็น บ่อเกิด ทั้งอัตตาและมโนธรรมนั้น เป็นพลังที่ขับเคลื่อนชีวิตเราและอยู่เบื้องหลังความทุกข์และความสุขของมนุษย์ทุกคน
หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องของการเสริมสร้างพลังบวกและใช้พลัง ดังกล่าว ในการดำเนินชีวิตตลอดจนขับเคลื่อนการงาน ทั้งในระดับบุคคลและระดับ องค์กร บทความทั้ง 8 บทเคยตีพิมพ์ในวารสารสุขศาลา ระหว่างปี 2551- 2553 โดยตั้งชื่อบทความชุดนี้ว่า “ขับเคลื่อนชีวิตด้วยจิตวิวัฒน์” อัน เป็นชื่อเดียวกับคำ บรรยายที่นำ เสนอในการประชุมใหญ่ของสถาบันรับรอง คุณภาพสถานพยาบาล เมื่อเดือนมีนาคม 2551 ทั้ง 8 บทนี้เคยพิมพ์ รวมอยู่ในหนังสือเรื่องอัตตาทำให้ใจเราหนัก ความรักทำให้ตัวเราเบา การ ตีพิมพ์ครั้งใหม่นี้เป็นการแยกพิมพ์เป็นเล่มครั้งแรก โดยมีการปรับปรุง แก้ไขเพียงเล็กน้อย พร้อมกับตั้งชื่อใหม่เพื่อเน้นคุณค่าของพลังบวกให้ เด่นชัดขึ้น


คลิ๊ก => http://www.visalo.org/book/jitBergBaan.htm
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 16, 2012, 08:42:39 am โดย ยาใจ »

ยาใจ

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14170
    • ดูรายละเอียด


คำปรารภ
ในสายตาของคนทั่วไป ความตายเป็นสิ่งน่ากลัวและเลวร้ายที่สุดเท่าที่จะเกิดขึ้นกับคน ๆ หนึ่ง เพราะมันหมายถึงการแตกดับของชีวิตและความพลัดพรากจากทุกสิ่งที่เคยรักและหวงแหน แต่แท้จริงแล้ว ความตายมิใช่วิกฤตเท่านั้น หากยังเป็นโอกาสสำหรับสิ่งดี ๆ หลายอย่าง ความตายของคน ๆ หนึ่งไม่เพียงสามารถช่วยให้อีกหลายชีวิตอยู่รอดด้วยอวัยวะที่ได้รับการปลูกถ่ายเท่านั้น หากยังสามารถกระตุ้นให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีก่อนที่ชีวิตจะจบสิ้น หลายคนได้มีโอกาสคืนดีกับคนรักหรือมิตรสหายหลังจากที่ร้าวฉานกันมานาน ขณะที่อีกไม่น้อยได้พบกับความสงบในจิตใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเพราะได้ปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ ที่เคยหลงยึดติดมานาน ในพระไตรปิฎกมีเรื่องราวเกี่ยวกับพระอรหันต์หลายท่านที่หลุดพ้นจากกิเลสขณะที่กำลังจะสิ้นลมเพราะได้ประจักษ์แก่ใจว่าสังขารนั้นเป็นทุกข์อย่างยิ่งและไม่น่ายึดถือเลยแม้แต่น้อย

ความตายนั้นเป็นทุกข์ก็จริง แต่ก็สามารถผลักดันให้จิตใจเป็นอิสระจากทุกข์ได้ ไม่มีใครหนีพ้นความตายได้ก็จริง แต่ก็สามารถพบกับความสงบในวาระสุดท้ายของชีวิตได้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงมิใช่ศัตรูที่น่ากลัวของเรา สิ่งที่น่ากลัวคือความกลัวในใจของเราต่างหาก ความกลัวดังกล่าวมิได้มาจากไหน หากเกิดจากความไม่รู้นั่นเอง มารี คูรี นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังชาวโปแลนด์ เคยกล่าวว่า “ในชีวิตนี้ไม่มีอะไรที่น่ากลัว มีแต่สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจ” ใช่หรือไม่ว่า เมื่อใดที่เรารู้จักหรือเข้าใจความตายดีพอ เมื่อนั้นความตายก็ไม่น่ากลัวอีกต่อไป

แทนที่เราจะหนีความตาย ไม่รับรู้ใด ๆ เกี่ยวกับความตาย จนแม้แต่คำว่า “ความตาย”ก็ไม่อยากได้ยินหรือเอ่ยถึง ไม่ดีกว่าหรือหากเราจะมาเรียนรู้เกี่ยวกับความตาย เริ่มจากการยอมรับว่าความตายคือความจริงที่จะต้องเกิดขึ้นกับเราไม่วันใดก็วันหนึ่ง ดังนั้นแทนที่จะอยู่อย่างคนลืมตาย ก็หันมาเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมรับความตายอยู่เสมอ ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่เราจะสามารถเผชิญความตายด้วยใจสงบ หรือเห็นความตายเป็นมิตรที่เราพร้อมอ้าแขนต้อนรับด้วยรอยยิ้ม

หนังสือเล่มนี้มีที่มาจากการบรรยายของข้าพเจ้า ณ ศูนย์วิปัสสนากรรมฐาน ของยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ที่จังหวัดชุมพร เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๕๒ คำบรรยายดังกล่าวมีเนื้อหาทั้งในด้านการเตรียมใจตนเองให้พร้อมรับความตาย และการช่วยเหลือผู้ใกล้ตาย สำนักพิมพ์เนชั่นบุ๊คเห็นว่าคำบรรยายดังกล่าวมีประโยชน์ต่อผู้อ่าน จึงขอจัดพิมพ์เป็นเล่ม ข้าพเจ้ายินดีอนุญาต และหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะมีส่วนช่วยให้ทุกท่านดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท ตั้งมั่นในคุณงามความดี ทำหน้าที่ของตนให้ครบถ้วนสมบูรณ์ รวมทั้งมีสติและปัญญาเป็นเครื่องรักษาใจ เพราะทั้งหมดนี้คือการเตรียมตัวที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้ทุกท่านสามารถยิ้มรับความตายด้วยใจสงบ

พระไพศาล วิสาโล
๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๔

ยาใจ

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14170
    • ดูรายละเอียด


เลี้ยงลูก ปลูกสติ

โดย พระไพศาล วิสาโล
พิมพ์ครั้งที่ ๑ ๒๕๕๔

คำปรารภ
ความรักของพ่อแม่เป็นสิ่งงดงามยิ่ง เพราะเปี่ยมด้วยเมตตากรุณา ทำให้พร้อมเสียสละเพื่อลูกแม้ตนจะลำบากเพียงใดก็ตาม ความรักของพ่อแม่ได้นำพาสิ่งดีงามมากมายมาให้แก่ลูก อย่างยากที่จะมาอะไรมาทดแทนได้ พ่อแม่ไม่เพียงให้ชีวิตแก่ลูก และฟูมฟักดูแลลูกจนเติบใหญ่เท่านั้น หากยังสามารถช่วยให้ลูกได้เข้าถึงศักยภาพอันยิ่งใหญ่ที่มีอยู่ในมนุษย์ทุกคน

ความรักของพ่อแม่ทำได้มากกว่าการเลี้ยงดูลูกให้มีสุขภาพดี ส่งเสริมให้มีวิชาความรู้จนสามารถทำมาหากิน พึ่งตนได้และมีครอบครัวเป็นฝั่งฝา หากยังสามารถเกื้อกูลให้ความดีงามภายในใจของลูกเจริญงอกงาม ดุจดังเมล็ดพันธุ์ที่ได้รับการดูแลจนเติบโตเป็นต้นกล้าและไม้ใหญ่ แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาแก่ผู้อาศัย ความดีงามเหล่านี้หากเจริญงอกงามก็จะเป็นเสมือนอริยทรัพย์ที่เกื้อหนุนให้ลูกมีความสุขและพึ่งตนเองได้อย่างแท้จริง อริยทรัพย์นี้พ่อแม่ไม่สามารถให้แก่ลูกได้เหมือนเงินทองและสมบัตินอกกาย แต่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้เกิดขึ้นได้ ด้วยความรัก ด้วยความเข้าใจ และด้วยเวลาที่พร้อมจะให้แก่ลูก

เด็กนั้นมีศักยภาพมากมายชนิดที่มิอาจประมาณได้ จิตใจของเด็กเองสามารถรองรับธรรมะที่ลึกซึ้งได้ เฉกเช่น แผ่นดินที่สามารถรองรับไม้ใหญ่ ในสมัยพุทธกาลเด็กที่บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ ๗ ขวบนั้นมีมากมายหลายคน ดังนั้นพ่อแม่จึงอย่าห่วงว่าธรรมะจะเป็นของยากสำหรับลูก ข้อสำคัญก็คือ อย่ายัดเยียดให้แก่ลูก แทนที่จะมุ่งสอนด้วยคำพูด ควรแสดงให้เป็นแบบอย่าง รวมทั้งส่งเสริมการเรียนรู้ของลูก การเรียนรู้นั้นสำคัญกว่าการสอน พ่อแม่จำนวนมากพยายามสอน แต่ลูกไม่มีพัฒนาการเลย เพราะเป็นการสอนที่ไม่ส่งเสริมการเรียนรู้ของลูก ขณะที่ลูกสามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆได้มากมาย แม้ไม่มีใครสอน

สติ สมาธิ เมตตา กรุณา และปัญญา เป็นสิ่งที่ลูกสามารถเรียนรู้ได้ หากพ่อแม่ทำตัวเป็นกัลยาณมิตร การเรียนรู้ของลูกก็จะเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยไม่จำเป็นต้องเข้าวัดหรือฟังพระเทศน์ก็ได้ แต่สามารถเกิดขึ้นได้จากชีวิตประจำวัน จากปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่ ซึ่งมีความเข้าใจลูก พยายามรับฟังลูก แต่ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อพ่อแม่มีเวลาให้ลูก ลำพังความรักของพ่อแม่อย่างเดียวหาเพียงพอไม่

หนังสือเล่มนี้เกิดจากกุศลฉันทะของคุณลัดดา วิวัฒน์สุระเวช ที่อยากให้คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายเข้าใจวิธีการเลี้ยงลูกแบบพุทธ จึงได้คัดเลือกเนื้อหาบางส่วนจากหนังสือของข้าพเจ้า ที่สอดคล้องกับประเด็นนี้ มาเรียบเรียงใหม่ โดยจัดบทและทำหัวข้อย่อยเพื่อให้อ่านง่าย รวมทั้งวาดภาพประกอบด้วยตนเอง แม้เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ยังไม่ครอบคลุมทุกประเด็นที่เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกแบบพุทธ แต่ก็คงพอเป็นแนวทางได้บ้างสำหรับการดูแลลูกในด้านจิตใจ และหวังว่าไม่ช้าไม่นานจะมีหนังสือที่เป็นคู่มือในการเลี้ยงลูกแบบพุทธอย่างแท้จริงสมความตั้งใจของคุณลัดดา

พระไพศาล วิสาโล
๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๔

ยาใจ

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14170
    • ดูรายละเอียด



ความสุขที่แท้

คำปรารภ
ใคร ๆ ก็ต้องการความสุข ชีวิตทั้งชีวิตทุ่มเทเพื่อความสุขที่ใฝ่หา แต่เราเคยถามตนเองหรือไม่ว่าความสุขที่เราเสาะแสวงมาหลายสิบปีนั้น เป็นความสุขที่แท้จริงหรือ และมีความยั่งยืนเพียงใด

ไม่ผิดหากจะกล่าวว่าในบรรดาผู้คนที่กำลังแสวงหาความสุขอยู่ในขณะนี้ น้อยคนที่รู้จักความสุขอย่างแท้จริง ส่วนใหญ่แล้วเข้าใจว่าความสุขนั้นมีอย่างเดียวคือความสุขจากวัตถุ หรือความสุขจากการเสพ แท้จริงแล้วยังมีความสุขอย่างอื่นที่ไม่อิงวัตถุ และเป็นสุขที่ประณีตกว่า

ความสุขที่แท้มิได้อยู่ไกลตัว หากอยู่ในใจเรานี้เอง หากวางใจถูกก็เป็นสุขได้ในทุกหนแห่ง เพียงแค่รู้จักพอ ก็พบความสงบเย็น ไกลจากความรุ่มร้อน หารู้จักปล่อยวาง จิตใจก็โปร่งโล่งเบาสบาย และพบสุขได้แม้ระหว่างทำงาน

หนังสือเล่มเล็ก ๆ นี้ประกอบด้วย ๔ บทความ ซึ่งเคยตีพิมพ์ในที่อื่นมาก่อน ในการรวมพิมพ์ครั้งนี้ เครือข่ายพุทธิกาได้จัดทำรูปเล่มที่สวยงาม น่าอ่าน หวังว่าหนังสือเล่มนี้จะช่วยให้ท่านพบความสุขที่แท้ด้วยตัวท่านเอง


พระไพศาล วิสาโล
๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔
อาสาฬหปุรณมี

คลิ๊ก => http://www.visalo.org/book/WordaPdf/Kwamsukteetea.pdf








คลิ๊ก =>  http://www.bia.or.th/ebook/prapisan/happy_nose.pdf



ที่มา : http://www.bia.or.th








คลิ๊ก =>http://www.bia.or.th/ebook/prapisan/SukSuankraSae.pdf



ที่มา : http://www.bia.or.th
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 17, 2013, 02:46:42 pm โดย ยาใจ »

ยาใจ

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14170
    • ดูรายละเอียด




ธรรมะสำหรับผู้ป่วย
โดย พระไพศาล วิสาโล
จัดพิมพ์โดย เครือข่ายพุทธิกา
พิมพ์ครั้งที่ ๑ ๒๕๕๔

คำปรารภ
ความเจ็บป่วยเป็นธรรมดาของชีวิต ไม่มีใครหนีพ้นความจริงข้อนี้ไปได้ แม้พยายามป้องกันเพียงใดก็ตาม ก็ย่อมมีวันที่จะต้องล้มป่วย ในยามนั้นนอกจากการเยียวยารักษากายแล้ว สิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันก็คือการดูแลรักษาใจ เพราะความป่วยใจมักเกิดขึ้นควบคู่กับความป่วยกาย บ่อยครั้งความป่วยใจยังซ้ำเติมให้ความป่วยกายเพียบหนักขึ้น หรือขัดขวางไม่ให้การเยียวยาทางกายประสบผลดี แต่หากดูแลรักษาใจให้ดีแล้ว ความทุกข์ทรมานก็จะลดลง อีกทั้งยังอาจช่วยให้ความเจ็บป่วยทุเลาลงด้วย

ป่วยกายแต่ไม่ป่วยใจนั้น เป็นไปได้ หากรู้จักวางใจให้เป็น ยิ่งกว่านั้นใจที่มีสติและปัญญา ยังสามารถหาประโยชน์จากความเจ็บป่วยได้ด้วย เช่น ทำให้เกิดความเข้าใจในความเป็นจริงของชีวิต ตระหนักถึงความไม่เที่ยงของสังขาร กระตุ้นให้เกิดความไม่ประมาท เร่งสร้างกุศล และทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดในขณะที่ยังมีเวลา ความเจ็บป่วยจึงสามารถเป็นปัจจัยผลักดันให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ทำให้จิตใจเจริญงอกงามและเป็นสุข

ในยามเจ็บป่วยเราจึงไม่เพียงต้องการยารักษาโรคเท่านั้น หากยังจำเป็นต้องมีธรรมโอสถเพื่อรักษาใจด้วย ข้อเขียนและคำบรรยายในหนังสือเล่มนี้เป็นเสมือนคำเชิญชวนให้ผู้อ่านเห็นความสำคัญของธรรมโอสถและทดลองใช้กับตนเอง ยาทุกชนิด แม้ว่าเราจะรู้สรรพคุณและส่วนประกอบ แต่หากไม่นำมาใช้กับตัวเอง ก็หาเกิดประโยชน์อันใดไม่ ธรรมโอสถก็เช่นกัน เพียงแค่รู้ยังไม่พอ ต้องนำมาปฏิบัติด้วยจึงจะเกิดประโยชน์

หนังสือเล่มนี้ พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๕๓ โดยคุณขจร ธนะแพสย์ และมิตรสหาย เพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทาน ได้ทราบว่าหนังสือเล่มนี้ยังเป็นที่ต้องการของผู้คนจำนวนมาก ในการพิมพ์ครั้งใหม่นี้จึงได้มอบให้เครือข่ายพุทธิกาเป็นผู้ดำเนินการเพื่อนำรายได้จากการจำหน่ายไปใช้ในการทำงานเพื่อสาธารณประโยชน์ หวังว่าธรรมะสำหรับผู้ป่วย จะช่วยให้ผู้อ่านเกิดกำลังใจและเห็นแนวทางในการนำธรรมะมาใช้รับมือกับความเจ็บป่วยจนความทุกข์ใด ๆ ไม่อาจบีบคั้นใจได้

พระไพศาล วิสาโล
๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๔
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 05, 2011, 11:40:51 am โดย ยาใจ »

ยาใจ

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14170
    • ดูรายละเอียด


คืนความสุขให้ชีวิต

โดย พระไพศาล วิสาโล
สำนักพิมพ์ ดวงตะวัน
พิมพ์ครั้งที่ ๒ ๒๕๕๔

คำปรารภ
ความสุขมิได้อยู่ไกลตัวเลย หากมองเป็นก็เห็นสุขอยู่รอบตัว ที่จริงความสุขมีอยู่กับเราตลอดเวลาอยู่แล้วเป็นแต่เรามองไม่เห็นเอง ไม่ต้องดูอื่นไกล การที่เราได้กินอิ่ม นอนอุ่น มีสุขภาพดี นับเป็นความสุขของชีวิต แต่เรามักไม่ตระหนักความจริงข้อนี้จนกว่าจะสูญเสียสิ่งเหล่านั้นไป ต่อเมื่อเราล้มป่วยจึงได้คิดว่าตอนที่ไม่เจ็บไม่ป่วยนั้นเป็นสุขอย่างยิ่งแล้ว

เรามักเข้าใจว่าความสุขจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อร่ำรวย มีคนรัก มีงานดี มีตำแหน่งสูง ฯลฯ การมองเช่นนั้นคือการเอาความสุขฝากไว้กับอนาคต เราไม่ควรจะรอให้ได้สิ่งเหล่านั้นก่อนถึงจะมีความสุข สิ่งสำคัญกว่าก็คือมีความสุขอยู่ในปัจจุบัน ถึงแม้ไม่มีสิ่งเหล่านั้นอยู่ตอนนี้เราก็มีความสุขได้ เพราะสุขที่แท้นั้นมีอยู่แล้วในใจเรา

หากวางใจเป็นก็สามารถมีความสุขได้ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่ามีหรือจน ได้หรือเสีย พบหรือพราก อะไรเกิดขึ้นกับเราไม่สำคัญเท่ากับว่าเรามองหรือรู้สึกกับมันอย่างไร ถ้าเรามองว่าอนิจจังเป็นธรรมดาของชีวิต ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเราก็ทำให้เราเป็นทุกข์ไม่ได้ แม้สิ่งนั้นจะเป็นความตายก็ตาม ในทำนองเดียวกันถ้ารู้จักมองในแง่บวก ความป่วยก็กลายเป็นคุณ เคราะห์ก็กลายเป็นโชค

กุญแจสู่การบรรลุความสุขในปัจจุบันก็คือการรู้จักตนเอง ตราบใดที่เรายังไม่รู้จักตนเอง เราก็จะเป็นทุกข์อยู่ร่ำไป เพราะได้เท่าไรก็ไม่พอใจเสียที แม้ไม่มีใครมาทำอะไรเราเลย เราก็ยังเป็นทุกข์อยู่นั่นเอง ทั้งนี้เพราะในส่วนลึกเราทะเลาะกับตัวเองอยู่เกือบตลอดเวลา เมื่อใดที่เรารู้จักตัวเองอย่างแจ่มชัด เราจะกลับมามีสันติกับตัวเอง แล้วความสุขที่เคยสูญเสียไปก็จะกลับคืนสู่ชีวิตเรา

หนังสือเล่มนี้มีที่มาจากการบรรยายให้แก่คณะผู้บริหาร ครู และเจ้าหน้าที่โรงเรียนวรรณสว่างจิตที่มาปฏิบัติธรรม ณ วัดป่าสุคะโต เมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๕๐ ต่อมาได้มีการรวมพิมพ์เป็นเล่มเมื่อปี ๒๕๕๑ บัดนี้หนังสือเล่มนี้หายากแล้ว สำนักพิมพ์ดวงตะวันจึงขออนุญาตพิมพ์เป็นครั้งที่สอง ข้าพเจ้ายินดีอนุญาตตามความประสงค์

พระไพศาล วิสาโล
วันอาสาฬหปุรณมี
๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔

ยาใจ

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14170
    • ดูรายละเอียด



ธรรมะสั้นๆ ชวนอ่าน ชวนคิด
หยิบอ่านวันละนิด ช่วยพิชิตความทุกข์
๑๐๘ ธรรมะสะกิดใจ

โดย พระไพศาล วิสาโล
พิมพ์ครั้งที่ ๑ ๒๕๕๔
สนพ. สารคดี

คำปรารภ
สำนักพิมพ์สารคดีมีความประสงค์ที่จะคัดเลือกข้อความบางตอนจากบทความและคำบรรยายของข้าพเจ้ามารวมพิมพ์เป็นเล่ม เพื่อเป็นข้อคิดแก่ผู้อ่าน อาตมายินดีอนุญาตตามความประสงค์

แม้ว่าผู้จัดพิมพ์ตั้งชื่อหนังสือเล่มนี้ว่า "๑๐๘ ธรรมะสะกิดใจ" แต่ผู้อ่านพึงถือเอาเนื้อหาสาระในเล่มนี้เป็นเพียงข้อคิดที่ทำหน้าที่สะกิดใจเท่านั้น เมื่อใจถูกสะกิดแล้ว ผู้อ่านพึงพิจารณาใคร่ครวญด้วยปัญญาของตนว่า ถูกต้องหรือไม่ เป็นประโยชน์เพียงใด ก่อนที่จะนำไปทดลองปฏิบัติ อย่าถึงกับมองว่าที่ได้อ่านนั้นเป็น "ธรรมะ"เลย หรือหากจะถือว่าเป็น "ธรรมะ" ก็ขอให้ตระหนักว่ามี "ธรรมะ"ที่ประเสริฐกว่านั้นคือ ธรรมะของพระพุทธองค์ ซึ่งสามารถชี้นำให้เราเข้าถึงสัจธรรมที่แท้จริง โดยมีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนที่จะช่วยให้เราพ้นทุกข์ ดับความรุ่มร้อนในใจได้

อันที่จริงข้าพเจ้าก็ได้อาศัยธรรมะของพระพุทธองค์มาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตด้วย มุมมองของข้าพเจ้าจึงได้รับอิทธิพลจากพุทธธรรมอยู่ไม่น้อย ดังปรากฏในข้อเขียนและคำบรรยายต่าง ๆ แม้กระนั้นก็ย่อมมีความเห็นส่วนตัวปะปน รวมทั้งมีข้อจำกัดตามวิสัยของปุถุชน แต่ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านตามสมควร

อนึ่ง ควรกล่าวด้วยว่า ธรรมะหรือคำสอนของพระพุทธองค์ นอกจากส่วนที่เป็นจริยธรรมแล้ว อีกส่วนที่สำคัญมากก็คือสัจธรรม หรือความจริงที่พระองค์ทรงค้นพบ ความจริงเหล่านี้เป็นสากลที่แสดงตัวอยู่ต่อหน้าเราและในตัวเราตลอดเวลา ความจริงดังกล่าวไม่จำเป็นต้องได้มาจากการอ่านตำราหรือคัมภีร์ หากสามารถประจักษ์แก่ใจของเราได้เสมอหากรู้จักมองหรือเปิดใจพร้อมรับ ดังหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้เคยกล่าวว่า "ธรรมะมีอยู่ทุกหย่อมหญ้าสำหรับผู้มีปัญญา" ดังนั้นไม่ว่าเราอยู่ที่ใด ในบ้านหรือบนท้องถนน ไม่ว่าเรากำลังทำอะไร ทำงานหรือพักผ่อน ก็มีโอกาสเห็นธรรมะได้ทุกเวลา อย่างไรก็ตามธรรมะนั้นมีหลายระดับ ระดับที่ลึกซึ้งที่สุดนั้น ต้องเกิดจากการหมั่นพินิจมองตนโดยไม่มีอคติหรือกิเลสใด ๆมาเคลือบคลุมหรือชักจูงให้หวั่นไหวไขว้เขว แน่นอนว่านั่นเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องทำเอง มาถึงจุดนี้หนังสือเล่มนี้คงช่วยไม่ได้มาก

พระไพศาล วิสาโล
๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๔

ยาใจ

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14170
    • ดูรายละเอียด


สารพันปัญหา ธรรมะ แก้ได้

โดย พระไพศาล วิสาโล
พิมพ์ครั้งที่ ๑ ๒๕๕๔
สนพ. สุขสว่าง

คำปรารภ
ปุจฉา-วิสัชนาทั้งหมดในหนังสือเล่มนี้ คัดสรรมาจาก Facebook ที่มิตรผู้หนึ่งได้จัดทำขึ้นให้แก่อาตมาในรูป fan page แรกเริ่มเดิมทีเนื้อหาในหน้าดังกล่าวคัดมาจากบทความและคำบรรยายของอาตมาตามที่ต่าง ๆ รวมทั้งจากเว็บไซต์ของอาตมา (www.visalo.org) ต่อมาเริ่มมีผู้อ่านหลายท่านเขียนคำถามมาลงในเพจดังกล่าว มีทั้งที่เกี่ยวกับข้อเขียนและคำบรรยายของอาตมา และที่เป็นข้อสงสัยส่วนตัวในชีวิตประจำวัน มิตรผู้ดูแลเพจดังกล่าวจึงได้รวบรวมคำถามส่งมาให้อาตมาตอบเป็นคราว ๆ ระยะหลัง “ปุจฉา-วิสัชนา”จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของเพจดังกล่าว ที่มีผู้ติดตามอ่านเป็นประจำ

คำถามเหล่านี้มักเป็นข้อสงสัยที่อยู่ในใจของผู้คนเป็นอันมาก หากไม่เป็นเรื่องบุญ-บาปหรือความถูก-ผิดในมุมมองของพุทธศาสนา ก็มักจะเป็นปัญหาความสัมพันธ์กับผู้คน รวมทั้งแนวทางในการดำเนินชีวิต คำตอบส่วนใหญ่ของอาตมาจะพยายามอิงธรรมในพุทธศาสนาเป็นหลัก แต่บางครั้งก็อาศัยความเห็นส่วนตัวหรือประสบการณ์ที่เคยพานพบมา อย่างไรก็ตามเนื่องจากข้อจำกัดด้านเวลาของอาตมา ประกอบกับลักษณะจำเพาะของสื่ออย่าง Facebook คำตอบจึงมักจะไม่ยาวมาก อ่านได้ในเวลาสั้น ๆ และไม่เป็นวิชาการมากนัก จึงไม่ค่อยมีการอ้างอิงพุทธพจน์หรือที่มาของหลักธรรมที่อาตมาใช้เป็นแนวในการตอบ แม้กระนั้นก็มีบางคำถามที่จำเป็นต้องใช้เนื้อที่ในการตอบพอสมควรเพราะเป็นประเด็นที่มีหลายแง่มุม ไม่สามารถตอบแบบ “ฟันธง”โดยแง่เดียวได้

เนื่องจากคำตอบของอาตมามักมีความเห็นส่วนตัวแทรกอยู่ด้วย อีกทั้งเขียนขึ้นภายใต้ข้อจำกัดทั้งด้านเวลาและสติปัญญา ดังนั้นผู้อ่านจึงไม่ควรถือว่าคำตอบเหล่านี้เป็น “คำตอบสุดท้าย” ควรถือเป็นคำตอบแนวหนึ่ง ซึ่งอาจผิดหรือถูกก็ได้ ผู้อ่านจึงควรไตร่ตรองด้วยปัญญาของตน และอาศัยความรู้จากแหล่งอื่นประกอบด้วย และหากพบว่าคำตอบของอาตมามีความผิดพลาดในด้านข้อเท็จจริง กรุณาแจ้งให้อาตมาทราบด้วย เพื่อแก้ไขในโอกาสต่อไป

ขอขอบคุณมิตรผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม ซึ่งจัดทำเพจดังกล่าว โดยไม่ได้รู้จักกับอาตมาเป็นการส่วนตัวมาก่อน (และไม่ทราบว่าอาตมามี Facebook ของตัวเองอยู่แล้ว) ธรรมฉันทะและความใส่ใจของมิตรผู้นี้มีส่วนสำคัญมากในการทำให้เพจดังกล่าวได้รับความนิยมและมีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก รวมทั้งทำให้ปุจฉา-วิสัชนาทั้งหมดในหนังสือเล่มนี้เกิดขึ้น (ผู้สนใจโปรดดูที่เพจ “พระไพศาล วิสาโล Phra Paisal Visalo”) พร้อมกันนี้ก็ขอขอบคุณคุณสุวรรณา ตปนียากรกช ที่ได้รวบรวมปุจฉา-วิสัชนาส่วนหนึ่งมารวมพิมพ์เป็นเล่ม ทำให้ผู้อ่านกลุ่มใหญ่ที่ไม่คุ้นกับสื่ออินเตอร์เน็ต สามารถเข้าถึงเนื้อหาได้โดยง่าย หวังว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์แก่ท่านตามสมควร

พระไพศาล วิสาโล
๑ ตุลาคม ๒๕๕๔


ยาใจ

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14170
    • ดูรายละเอียด


ธรรมะจากพระไพศาล วิสาโล

คำปรารภ

ข้อเขียนและคำบรรยายเหล่านี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากประสบการณ์การปฏิบัติส่วนตัว อีกส่วนหนึ่งเป็นผลจากการใคร่ครวญสิ่งที่ประสบพบเห็น รวมทั้งเรื่องราวที่ได้ยินได้ฟังมา แต่ทั้งหมดนี้จะมีสาระน้อยมากหากข้าพเจ้าไม่มีคำสอนของพระพุทธองค์และครูบาอาจารย์ทั้งหลายเป็นเครื่องชี้แนะหรือนำทาง ข้าพเจ้าเป็นหนี้บุญคุณพระพุทธองค์และครูบาอาจารย์ทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเมื่อได้รับอานิสงส์จากการศึกษาและปฏิบัติ จึงปรารถนาที่จะนำมาแบ่งปันและถ่ายทอดให้ผู้อื่นเพื่อเป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิต โดยหวังว่าจะมีส่วนเกื้อกูลให้เกิดสันติสุขในสังคม และเป็นการส่งเสริมพระศาสนาให้มีความมั่นคงและยั่งยืนไปพร้อมกัน

เป็นธรรมดาของปุถุชน ข้อเขียนและคำบรรยายของข้าพเจ้าย่อมมีข้อจำกัด และอาจมีความผิดพลาดได้ ผู้อ่านจึงไม่ควรเชื่อไปเสียหมด หากควรนำไปทดลองปฏิบัติดูถ้าเห็นว่าดี หรือแม้จะไม่เห็นด้วยก็อย่าเพิ่งปฏิเสธทันที พึงระลึกว่าเนื้อหาเหล่านี้ข้าพเจ้านำเสนอในฐานะกัลยาณมิตร ที่อยากแบ่งปันให้แก่เพื่อนร่วมทุกข์ มิได้นำเสนอในฐานะครูบาอาจารย์ แม้กระนั้นก็หวังว่าหนังสือเล่มนี้จะให้ข้อคิดในการดำเนินชีวิตและเป็นแนวทางในการปฏิบัติได้บ้าง อย่างน้อยก็ช่วยกระตุ้นให้ผู้อ่านเห็นความสำคัญของการหมั่นดูใจของตนอยู่เสมอ กล่าวคือ รู้เท่าทันความรู้สึกนึกคิด ไม่เผลอถูกชักใยด้วยอัตตาซึ่งแท้จริงก็เป็นมายาที่เกิดจากการปรุงแต่งอีกทีหนึ่ง ขณะเดียวกันก็เปิดใจเรียนรู้ธรรมะจากทุกสิ่งทุกเหตุการณ์ แม้แต่สิงสาราสัตว์ และก้อนหินดินทราย ก็สอนธรรมแก่เราได้ ใช่ว่าธรรมะจะมีอยู่แต่ในหนังสืออย่างเดียวก็หาไม่ จะว่าไปแล้วกระทั่งความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายในใจ ก็สอนธรรมให้เราได้มากมาย สามารถบ่มเพาะปัญญาจนปลดเปลื้องใจให้เป็นอิสระจากความทุกข์ได้

ขออนุโมทนาคุณฐิติขวัญ เหลี่ยมศิริวัฒนา และสำนักพิมพ์อมรินทร์ธรรมะที่เห็นความสำคัญของการเผยแผ่ธรรมในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมสัมมาทัศนะและสัมมาปฏิบัติให้งอกงามในจิตใจของผู้คน

พระไพศาล วิสาโล
๑ สิงหาคม ๒๕๕๔
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 05, 2012, 03:14:29 pm โดย ยาใจ »