ผู้เขียน หัวข้อ: บัญญัติมีย่อๆ ๒ อย่าง - พระภาวนาเขมคุณ‬ วิ.(หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี)  (อ่าน 690 ครั้ง)

ยาใจ

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 14143
    • ดูรายละเอียด




บัญญัติมีย่อๆ ๒ อย่าง
๑. สัททบัญญัติ หรือ นามบัญญัติ
ก็คือชื่อเรียก ตั้งชื่อเรียกเป็นภาษาเรียก
พุทโธ พองหนอ ยุบหนอ เป็นคำเรียกชื่อ
เรียกว่า "สัททบัญญัติ" เย็นหนอ ตึงหนอ แข็งหนอ
เป็นศัพท์ภาษาเรียกขึ้นมาตามสมมติ
ถ้าคนต่างประเทศเขาก็บัญญัติตามภาษาของเขาไป
ศัพท์ภาษามันเป็นเรื่องสมมติ

๒. บัญญัติอีกอย่างก็คือความหมาย
หรือรูปทรงสัณฐาน เรียกว่า อัตถบัญญัติ

คือมองภาพมองรูปร่างแล้วหลับตาก็นึกเห็นเป็นรูปร่าง
อย่างเรามองพระพุทธรูป เพ่งมองพระพุทธรูป
แล้วหลับตานึกเห็นพระพุทธรูปหรือไม่
ถ้าไม่เห็นก็ลืมตามองใหม่ มอง จดจำ
แล้วก็หลับตา ลืมตาบ้าง หลับตา มอง
จนหลับตาแล้วก็นึกเห็นพระพุทธรูป
เหมือนที่เราลืมตาเห็น
ยิ่งมีสมาธิยิ่งเห็นชัด

ถ้าใหม่ๆยังไม่มีสมาธิก็จะเห็นเลาๆเป็นภาพ
ถ้าหลับตาเห็นภาพพระพุทธรูป ถามว่าพระพุทธรูปนั้น..
ไปอยู่ในใจของท่านทั้งหลายหรือไม่หรืออยู่ที่เดิม?
ก็อยู่ที่เดิม ที่เห็นในใจนั้นคืออะไร? คือภาพจำลอง
ไม่ใช่ของจริง จิตสามารถจำลองสามารถสร้างภาพขึ้นมา
เหมือนกล้องถ่ายรูปเขาก็ถ่ายเอาภาพ
แต่ไปอยู่ในฟิล์มในกล้อง ในนั้นก็ไม่ใช่ของจริง
แต่มันจำลองไปได้ จำลองภาพ
ใจเราก็เหมือนกัน ใจเหมือนกล้องถ่ายรูปกล้องวิดิโอ
มันก็จะจำภาพ จำลองไว้ในใจ เห็นเป็นภาพ
เปลี่ยนจากพระพุทธรูปมาเป็นร่างกายตนเอง
เราลืมตาเราเห็นร่างกายอยู่ มืออย่างนี้ ขาอย่างนี้
ทีนี้หลับตาไปในใจก็ยังมีภาพรูปร่างตัวเองนั่งอยู่
ในใจเรา จะเห็นมือ เหมือนมีมือ มีขา มีลำตัว
อย่างนี้เป็นภาพจำลอง เรียกว่าเป็นมโนภาพ
เป็นอารมณ์บัญญัติอย่างหนึ่ง

ถ้าปฏิบัติไปสักระยะหนึ่ง จิตไม่ปรุงแต่ง
สัญญาสังขารไม่ปรุงแต่งจิต
มโนภาพที่เห็นเป็นมือเป็นขาจะหายไป
ก็อย่าไปตกใจ..

บางคนกลัว ตัวมันหาย กลัวอีก กลัวตาย
บางคนตัวมี แต่หัวไม่มี คือมันสร้างไม่ครบ
ใจสร้างภาพไม่ครบ หรือมือไม่มี
แต่ที่จริงมันเป็นเพียงมโนภาพที่หายไป
ของจริงก็ยังอยู่ตามเดิมเนื้อหนังอวัยวะ
ลืมตามันก็ยังอยู่เหมือนเดิม
แต่มันถ่ายภาพไปในใจเป็นมโนภาพ เป็นสมมติ
ถึงระดับหนึ่งจิตจะทิ้งสมมติ มันจะหายไป
ก็ไม่ต้องไปค้นหา แต่มันจะเหลือของจริง
ที่เป็นปรมัตถ์ ก็คือ ความรู้สึก

อย่างมือที่แตะกันนี้รู้สึกสัมผัสแข็งอ่อนร้อนเย็น
แต่ในใจมันไม่เห็นเป็นมือ แต่มันมีความรู้สึก
นี่เขาเรียกว่าปรมัตถ์หรือสภาวะ
อย่างที่ท้องเหมือนกัน เราหลับตา
กำหนดท้องพองหนอยุบหนอ
ในใจจะมีมโนภาพเป็นรูปร่างท้องโป่งท้องแฟบ
หรือเป็นความหมาย มันตีความหมายว่านี่พองนี่ยุบ
แต่พอฝึกไประยะหนึ่งจิตมันทิ้งสมมติ
มโนภาพที่เห็นเป็นท้องพองท้องยุบจะหายไป
เพราะมันไม่ใช่ของจริง
มันก็จะเหลือแต่ความรู้สึกที่เป็นความไหวๆความกระเพื่อม
แต่บอกไม่ได้ว่านี่พองหรือยุบ

แสดงว่าจิตเขาตัดบัญญัติไปแล้ว เขาตัดสมมติ
เขาก็จะเหลือแต่ของจริงที่เป็นความไหวๆเป็นปรมัตถ์อยู่

ฉะนั้นฝึกไปประสบการณ์จะต้องเจอ
หลับตาอยู่มือไม่มี ขาไม่มี ตัวไม่มี หัวไม่มี
มันก็จะมีแต่ความรู้สึกอยู่ ความรู้สึกรู้สึกอยู่
อย่างเช่นก้นขาสัมผัสพื้น รู้สึกแข็ง
แต่ในใจไม่เห็นรูปร่างขา มันเหลือแต่ความรู้สึก
อย่างนี้เขาเรียกว่าเหลือปรมัตถ์อยู่ เหลือสภาวะอยู่
............................
ธัมโมวาท โดยพระวิปัสสนาจารย์
‎หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา






*------------------------------------------------------------------------*

ขอบคุณข้อมูลจาก Facebook วัดมเหยงคณ์ ข่าวสด สารธรรม
https://web.facebook.com/mahaeyong.channel
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 31, 2022, 10:13:37 am โดย ยาใจ »