« ตอบ #654 เมื่อ: มีนาคม 28, 2020, 08:29:54 am »
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล เทศน์ที่วัดป่ามหาวัน วันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๓
Cr: Zen Sukato ขอบคุณค่ะ
ในโลกนี้มีโรคติดเชื้อมากมาย เรียกว่านับไม่ถ้วน แต่ว่าโรคโควิดนี้มันเป็นโรคติดเชื้อที่ไม่ค่อยเหมือนใครเท่าไหร่ โรคติดเชื้อมากมาย ส่วนใหญ่ก็ได้มักจะเกิดกับคนบางกลุ่มบางจำพวกหรือว่าบางสถานที่ อย่างเช่น โรคอหิวาตกโรค โรคบิดมักจะเกิดขึ้นกับคนจน รวมไปถึงอีสุกอีใส ไอกรน วัณโรคก็มักจะเกิดขึ้นกับคนที่ยากจน โดยเฉพาะที่อยู่ในเมือง อยู่ในชุมชนแออัด สถานที่ที่ผู้คนแออัดยัดเยียด ก็เป็นโรคเหล่านี้ได้ง่าย หรือว่าอีโบล่า ส่วนใหญ่เกิดขึ้นทางแอฟริกา แต่โควิดไม่เลือกว่าเป็นใคร จะร่ำรวย ยากจน มีสิทธิ์เป็นหรือติดเชื้อได้ทั้งนั้น
ไม่ว่าจะเป็นคนแต่งตัวสวยสะอาด หรือว่าสกปรกมอมแมม แต่ก่อนเราเห็นคนแต่งตัวเนื้อตัวสกปรกมอมแมมเราก็ไม่ค่อยอยากเข้าใกล้ เพราะคิดว่าเขาเป็นอาจจะตัวแพร่เชื้อ อยู่ใกล้คนที่แต่งตัวสะอาดหมดจดปลอดภัยกว่า แต่สำหรับโควิดนั้นไม่ใช่ คนแต่งตัวซกมกเนื้อตัวมอมแมมอาจจะไม่มีเชื้อโควิดเลยก็ได้ แต่ที่แต่งตัวสวยเสื้อผ้าราคาแพงสะพายกระเป๋าราคาเป็นแสนดูสะอาดหมดจด อาจจะมีเชื้ออยู่ก็ได้ คนยากจนอาจจะปลอดภัยกว่าไปอยู่ใกล้คนชั้นสูงเป็นเศรษฐี มีฐานะ ถ้าไปอยู่ใกล้ๆก็อาจจะติดเชื้อก็ได้ มันเกิดขึ้นได้กับทุกคนไม่จำเป็นต้องเป็นคนจน คนชนบท ร่ำรวยยิ่งใหญ่ คนมีอำนาจก็มีสิทธิ์เป็นก็ได้อย่างเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ตอนนี้ก็ติดเชื้อโคโรนาไวรัสไปเรียบร้อยแล้ว นายกรัฐมนตรีเยอรมัน อังเกลา แมร์เคิล ก็ติดเชื้อ
เป็นโรคที่เรียกว่าเสมอภาคเลยทีเดียว หมายความว่าทุกคนมีสิทธิ์ติดเชื้อได้ทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าต้องเป็นคนจนเนื้อตัวมอมแมมเสื้อผ้าสกปรก
มันทำให้ความเข้าใจของเราเกี่ยวกับเรื่องความสะอาดเปลี่ยนไปเลย แต่งตัวสะอาดมีน้ำหอมส่งกลิ่นหอมแต่ติดเชื้อก็ได้ เนื้อตัวสกปรกซกมกมอมแมมแต่ว่าไม่มีเชื้อไวรัสโควิดเลย ซึ่งก็หมายความว่า ใครๆก็มีสิทธิ์ที่จะติดเชื้อได้ทั้งนั้นไม่ว่าจะเรียนสูงหรือว่าเรียนน้อย ร่ำรวยหรือยากจน เป็นฝรั่งหรือไทย เป็นผู้สูงศักดิ์หรือต่ำต้อย
การที่มันเกิดขึ้นได้กับทุกคนรวมทั้งตัวเราด้วย มันก็ทำให้ผู้คนเกิดความตื่นตระหนกแล้วก็เกิดความหวาดระแวง ไม่ได้ระแวงใครแต่ระแวงคนใกล้ตัว คนรู้จักก็ตาม แต่ถ้าหากว่ามาจากอิตาลี มาจากสเปน หรือมาจากกรุงเทพฯก็ตาม คนจำนวนจะมองด้วยสายตาที่ระแวดระวัง บางทีถึงขั้นระแวงเลย ไม่ใช่แค่ระวัง
ที่จริงในสถานการณ์แบบนี้ มองได้ 2 แบบ มองว่าคนรอบตัวเราอาจจะมีเชื้อนี้ หรือติดเชื้อไปเรียบร้อย ถ้าเรามองแบบนี้เราก็จะมีความรู้สึกลบกับเขาได้ง่าย อาจจะมองเขาว่าเป็นภัยอันตรายกับเรา ในด้านหนึ่งก็ดีที่ทำให้เราอยู่ห่างจากเขา แต่บางครั้งเรากลับเรียกร้องให้เขาอยู่ห่างจากเรา เพราะว่าขืนมาอยู่ใกล้ เชื้อของเขาอาจจะมีหรือไม่มีก็ได้จะมาติดเรา ในการมองคนอื่นว่ามีโอกาสติดเชื้อแล้วจะทำให้เราติดเชื้อไปด้วยนั้นมันทำให้เรารู้สึกลบกับเขา มองเขาเป็นมนุษย์น้อยลง เห็นเขาว่าเป็นเชื้อโรคมากขึ้น เป็นภัยคุกคามมากขึ้น แล้วก็จะเรียกร้องให้เขาอยู่ห่างจากเรา หรือบางทีก็อาจจะมีการผลักไสกัน ถ้าเกิดว่าเขามาอยู่ใกล้เราเกินไป
อย่างเมื่อ 3-4 วันก่อนที่วัดป่าสุคะโต นักปฏิบัติธรรมเรียงคิวเตรียมตักอาหาร จู่ๆก็มีผู้หญิงคนหนึ่งหันไปผลักผู้ชายที่อยู่ถัดไป ผลักอกแล้วก็บอกว่าไปห่างๆ ยังดีที่ผู้ชายคนนั้นไม่ถือโทษโกรธเคือง ที่จริงเขาก็ระมัดระวัง สวมหน้ากาก ผู้หญิงคนนั้นอาจมองว่าผู้ชายคนนั้นอยู่ใกล้ไป ไม่อยู่ห่าง 1 เมตร แต่ด้วยความคิดที่ว่าผู้ชายคนนี้อาจจะมีเชื้อ จึงรู้สึกไม่ปลอดภัย ผลักเขา
ที่จริงการที่ผู้หญิงไปผลักเขากลับยิ่งทำให้เธอมีความเสี่ยงมากขึ้น เพราะมือเธอไปสัมผัสกับเสื้อผ้าเขา ถ้าเขาติดเชื้อจริง เสื้อผ้าก็คงมีเชื้อโคโรนา การที่ไปผลักเขาคิดว่าตัวเองจะได้ปลอดภัย แต่กลับทำให้ตัวเองเสี่ยงมากขึ้น อย่างนี้เรียกว่าขาดสติ ขาดสติทั้งในแง่ที่มีความกลัว กลัวก็กลายเป็นโกรธ เกลียด เมื่อผู้ชายคนหนึ่งซึ่งไม่รู้จักมาไม่อยู่ใกล้ๆ แต่เพราะความกลัวความโกรธความเกลียดมากจนลืมตัว ไปผลักเขาเพื่อหวังจะให้ตัวเองปลอดภัยจากเชื้อ
ฉะนั้น มุมมองที่ว่าคนอื่นสามารถเอาเชื้อมาแพร่เราได้ ข้อดีทำให้เราไม่ประมาท ระมัดระวัง แต่ข้อเสีย ทำให้เรามองคนอื่นเป็นลบได้ง่ายๆ จนกระทั่งเขาไม่มีความเป็นมนุษย์ เป็นเชื้อโรคที่เดินได้ ยิ่งกว่านั้นยังทำให้เราเรียกร้องให้เขาอยู่ห่างจากเรา เพราะเขาอาจจะเป็นภัยคุกคามเรา ไม่ใช่แค่เรียกร้องแต่ยังผลักไสด้วย อย่างที่ผู้หญิงคนนั้นทำ ซึ่งมันไม่ดีเลยกับทุกฝ่าย ผู้ชายคนนั้นก็ถูกกระทำโดยที่อาจจะไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ผู้หญิงก็ได้แสดงอาการที่น่ารังเกียจแถมพาตัวเองเข้าไปเสี่ยงสัมผัสกับโรคมากขึ้น
แต่มีวิธีมองอีกแบบหนึ่งซึ่งน่าจะมองแบบนี้กันมากๆ คือ มองว่าเราอาจจะมีเชื้อก็ได้ ถ้าเรามองว่าเราอาจจะมีเชื้ออยู่ การที่จะมองคนอื่นเป็นลบก็หายไป การที่มองคนอื่นว่าเป็นภัยคุกคามนานเข้าก็จะหายไป แทนที่จะรู้สึกลบกับคนรอบข้าง กลับจะรู้สึกห่วงใยว่าเขาอาจจะติดจากเรา มันเปลี่ยนไปเลย กับแทนที่กลัวว่าเขาจะเอาเชื้อมาให้เรา กลายเป็นว่าเราอาจจะทำให้เขาติดเชื้อ ความห่วงใยดีกว่าความรู้สึกหวาดระแวง ห่วงใยว่าเราจะทำให้เขาติดเชื้อหรือห่วงใยว่าเราจะเป็นคนแพร่เชื้อ ดีกว่าความรู้สึกโกรธหรือกลัวว่าเขาจะเอาเชื้อมาให้เรา พอเราเกิดความห่วงใยขึ้นมา เราก็จะระมัดระวังตัว แทนที่เราจะเรียกร้องให้เขา เราเองเรียกร้องตัวเองให้อยู่ห่างจากคนอื่น มันเปลี่ยนไปเลย ท่าทีอย่างนี้
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราควรจะมีมาก ๆ คือ ความคิดว่าเราอาจจะติดเชื้อหรือมีเชื้ออยู่ในตัว เป็นท่าทีที่ดีกว่าการที่ไปมองว่าคนอื่นแพร่เชื้อมาสู่เรา ถ้าเราคิดว่าเราอาจจะมีเชื้อที่สามารถนำไปสู่คนอื่นได้ เราก็จะดูแลตัวเอง ระมัดระวังตัวเอง ไม่ไปอยู่ใกล้ใครเกินไปเพราะจะไปทำให้เขาติดเชื้อก็ได้ เราก็จะเก็บตัว ไม่ออกไปเพ่นพ่าน เพราะกลัวว่าเชื้อที่อยู่กับเราอาจจะไปติดคนอื่น แพร่กระจายขยายวงกว้างมากขึ้น เราจะไม่ทำตัวให้เป็นปัญหากับคนอื่น อันนี้ดีกว่า คนเราถ้ามองคนอื่นเป็นปัญหา เราจะรู้สึกลบกับเขาได้ง่าย แต่ถ้าเรามองว่าเราอาจจะเป็นปัญหา เราก็จะระมัดระวังตัว เราอาจจะดูแลตัวเอง
เหมือนกับเวลามีการทะเลาะเบาะแว้งกัน ขัดแย้งกัน ถ้าเราไปคิดว่าเขาไม่เข้าใจเรา เราก็จะพยายามเรียกร้องให้เข้าใจเราให้ได้ แต่ถ้าเราคิดว่าเราไม่เข้าใจเขาก็ได้ มันก็ทำให้เราเปิดใจฟังเขามากขึ้น หรือพยายามปรับเปลี่ยนตัวเอง คนเรามีปัญหากันแล้วความขัดแย้งลุกลาม เพราะมักคิดว่าคนอื่นเป็นตัวปัญหา คุณก็ไม่เข้าใจเราหรอก แต่ถ้าเราเปลี่ยนมุมมองว่าเราอาจจะเป็นตัวปัญหา ไม่เข้าใจเขาก็ได้ อันนี้ดีกว่า เพราะจะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงตัวเองมากกว่า โรคโควิทที่กำลังระบาดนี้ก็เหมือนกัน อย่าไปมองว่าคนอื่นนำเชื้อมา อย่าไปคิดว่าคนรอบตัว โดยเฉพาะคนแปลกหน้าเขามีเชื้อ เรานั่นแหล่ะอาจจะมีเชื้อก็ได้ ทำให้เรามีความรู้สึกนึกคิดในทางที่เป็นกุศลมากขึ้น แล้วก็ใส่ใจ ระมัดระวังตัวเองมากกว่าที่จะไปเรียกร้องว่าคนอื่น มองเขาเป็นภัยกับเรา
ตอนนี้เราทราบกันดีว่า โรคโควิดระบาดแพร่ไปไกล รุนแรงขึ้น โรคนี้น่ากลัวมาก ถึงแม้ว่าอัตราการตายจะน้อยกว่าโรคอื่นๆอย่างอีโบลา เมอสร์ หรือว่าซาร์ ซาร์มีอัตราการตายประมาณ 10% หมายความว่าป่วยร้อยตายสิบ เมอสร์ตาย 30 % ป่วยร้อยตาย 30 แต่อีโบลานั้นครึ่ง ๆ ทีเดียว ถึงแม้โควิทอัตราการตาย 1% โอกาสรอดมีมากแต่ในแง่ความน่ากลัวมีมากเพราะติดง่าย มันซ่อนตัวได้แนบเนียน คนติดเชื้อยังไม่รู้เลยว่ามีเชื้ออยู่ในตัว จนกระทั่งเริ่มมีอาการผ่านไป 3 - 4 วัน
แต่มีความน่ากลัวอีกอย่างคือ ใครเป็นแล้วเป็นหนักนั้นจะรู้สึกโดดเดี่ยวมาก คนที่เป็นมะเร็งใกล้ตายหรือตอนที่อาการหนักก็ยังมีญาติมิตรมาเยี่ยมเยียนให้กำลังใจ แต่ว่าคนที่ป่วยด้วยโรคโควิทจะทำอย่างนั้นไม่ได้เลย ไม่มีสิทธิ์เลย ยิ่งอาการหนัก ญาติมิตร ลูกหลานจะถูกกันออกไปให้ไกล เผลอๆญาติมิตรลูกหลานนั้นเองต้องกักตัวด้วยซ้ำเพราะอาจจะติดเชื้อจากคนป่วย
ฉะนั้น คนป่วยแล้วตายด้วยความรู้สึกไม่ใช่แค่ทรมานกายเท่านั้น มันทุกข์ใจด้วยเพราะว่าเหงาโดดเดี่ยวอ้างว้าง ไม่มีคนใกล้ชิดอยู่ใกล้ จนกระทั่งวาระสุดท้าย
มีสับปะเหร่อชาวอิตาลีคนหนึ่งพูดได้ดีว่า โรคนี้มันฆ่าคน 2 ครั้ง ครั้งแรก มันทำให้ป่วยหนัก แล้วขณะป่วยหนัก ญาติมิตรถูกกันให้ออกห่าง ฉะนั้น จึงป่วยด้วยความว้าเหว่ และเมื่อตายก็ไม่มีใครอยู่เคียงข้าง ครั้งที่สอง เมื่อตายแล้ว ลูกหลาน ญาติมิตรก็ไม่สามารถจะมาส่งหรือว่ามานำพาไปสู่สวรรค์ได้ เพราะทันทีที่ตายนั้น เขาไม่อนุญาตให้ลูกหลานญาติมาดูศพ หรือว่ามาร่ำลาแสดงความอาลัย ต้องเอาศพใส่ห่อทันที เพราะเห็นว่าแม้เชื้อไม่แพร่แล้วหลังจากที่คนตาย ตายแล้วนี่เชื้อไม่แพร่แล้ว แต่เชื้อยังติดอยู่ตามเสื้อผ้า ถ้าใครอยู่ใกล้อาจจะติดเชื้อได้ ตายปุ๊บจึงต้องรีบเอาศพใส่ห่อทันที ลูกหลานจะมาดูหน้าเป็นครั้งสุดท้าย ทำไม่ได้เลย
อันนี้เรียกว่า ฆ่า 2 ครั้ง มันทำร้ายจิตใจลูกหลานญาติมิตรมาก คนรักตัวเองป่วยก็ไม่สามารถจะมาเยี่ยมเยียนให้กำลังใจ ไม่สามารถจะมาสั่งเสีย ขอขมาหรือบอกความในใจได้ คนป่วยก็สั่งเสียอะไรไม่ได้ เพราะใครๆ ก็ถูกกันออกไปหมดเหลือแต่หมอกับพยาบาล ตอนตายก็ตายโดดเดี่ยว ตายไปแล้วยังไม่มีพิธีศพ ไม่มีลูกหลานมาดูหน้า ถ้าเป็นบ้านเราก็คงจะไม่มีโอกาสได้รดน้ำศพ ยิ่งกว่านั้นเมื่อเขาตายจากไป จะทำอะไรกับศพนั้นไม่ได้เลยเช่น มาตกแต่งศพ เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ดูดี หวีผมแต่งหน้าแต่งตาก่อนที่จะไปสู่ปรโลกก็ทำไม่ได้
สัปเหร่อก็ทำไม่ได้เหมือนกัน เขาบอกว่าหน้าที่อันหนึ่งที่เขาอยากทำคือเยียวยา บรรเทาความทุกข์ของญาติมิตรผู้สูญเสีย แต่ว่าตอนนี้ทำอะไรไม่ได้แล้ว จะหวีผมแต่งหน้าศพ เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวก็ไม่ได้ ต้องเอาศพใส่ห่อทันทีแล้วเอาเข้าโลง พอถึงพิธีศพก็ไม่มีอะไรมาก ลูกหลานญาติมิตรจะมาร่วมก็ไม่ได้ ถูกกันออกไป แต่ที่จริงลูกหลานญาติมิตรอาจจะถูกกักตัวแล้วก็ได้ เพราะว่าติดเชื้อจากผู้ป่วยหรือผู้ตาย มันต้องถูกแยกจากกันอย่างชัดเจน หรือบางทีญาติมิตรอาจจะไม่ได้อยู่ใกล้กับผู้ป่วย ซึ่งต่อมากลายเป็นผู้ตาย อาจจะมาจากเมืองอื่น แต่ก็มาร่วมพิธีไม่ได้เพราะเขากันเอาไว้ จะคุยกับสัปเหร่อก็ต้องคุยผ่านกำแพง เพราะอยู่ใกล้ญาติมิตรลูกหลานไม่ได้ เพราะสัปเหร่ออาจจะติดเชื้อไปด้วย เพราะว่าทำอะไรที่เกี่ยวกับศพก็มีสิทธิ์ที่จะติดเชื้อได้ สัปเหร่อก็ไม่ปลอดภัย
นี้คือบรรยากาศที่เกิดขึ้นในอิตาลี ซึ่งตอนนี้คนตายไป ๗ พันแล้ว ก่อนตายก็โดดเดี่ยว ตอนตายก็ไร้ญาติมิตรมาบอกทาง หรือว่ามาเป็นกำลังใจ ตายแล้วก็ไม่มีพิธีที่จะทำให้เกิดความรู้สึกบรรเทาคลี่คลายความทุกข์ ตอนตายก็โดดเดี่ยว งานศพก็โดดเดี่ยว เกิดขึ้นในหลายประเทศแล้ว สเปนด้วย
ไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นในเมืองไทยไหมในบรรยากาศแบบนี้ ตอนนี้คนไทยตายแล้ว 4 คน ต่อไปว่าจะเป็นอย่างไร ต่อไปก็เป็นร้อย แล้วบรรยากาศก็คล้ายๆกัน คือ ป่วยอย่างโดดเดี่ยว ตายโดยไร้ญาติ ญาติมิตรไม่สามารถจะมาร่ำลาอาลัยกับศพได้ ไม่สามารถจะมาเห็นหน้าศพเป็นครั้งสุดท้าย เปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งตัวให้ดูดีไม่ได้ ต้องถูกกันออกไป ถ้ามันเกิดขึ้นแบบนี้ในเมืองไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ก็คงสร้างความรู้สึกที่ปวดร้าวทั้งกับผู้ป่วยแล้วก็ผู้ที่ยังอยู่
หวังว่าเมืองไทยจะไม่เจอเหตุการณ์อย่างที่เกิดขึ้นในอิตาลี ต้องอาศัยความร่วมแรงร่วมใจของทุกคนในการมีวินัยในการดูแลตัวเองด้วย โดยเฉพาะถ้าทุกคนตระหนักว่า เราอาจจะเป็นผู้ติดเชื้อก็ได้ แล้วเราก็จะต้องเก็บตัวเอง ไม่ไปอยู่ใกล้กับคนรอบข้าง รู้จักเว้นระยะห่าง ถ้ามีอาการขึ้นมาก็ต้องกักบริเวณตัวเอง ถ้ายังไม่มีอาการก็เก็บตัวในบ้าน เพ่นพ่านให้น้อยลง ถ้าทุกคนทำกันอย่างนี้ มันก็มีโอกาสที่เราจะไม่ได้เป็นอิตาลี ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก : Facebook วัดป่าสุคะโต ธรรมชาติที่พักใจ
https://www.facebook.com/Zensukato/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 03, 2020, 08:54:49 am โดย ยาใจ »
เข้าสู่ระบบ