« ตอบ #141 เมื่อ: มีนาคม 22, 2019, 11:38:19 am »
การปฏิบัติธรรมเบื้องต้นที่ควรฝึก
1. ให้หมั่นไหว้พระสวดมนต์ และรักษาศีล 5 ทุกวัน ฝึกทำประจำสม่ำเสมอ ศีลเป็นรากฐานที่สำคัญ ที่จะทำให้ธรรมะอื่นๆ เจริญงอกงามได้ง่ายขึ้น ถ้าขาดศีลเสียอย่างเดียว หรือไม่มีศีล สมาธิที่จะทำให้จิตสงบ ก็เกิดขึ้นได้ยาก สมาธิที่จะทำให้จิตตั้งมั่นรู้สภาวธรรม ก็ยิ่งเกิดขึ้นได้ยาก เมื่อไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ปัญญาก็ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้เช่นกัน เพราะเหตุใกล้ที่ทำให้เกิดปัญญา นั่นคือ สัมมาสมาธิ ฉะนั้นจะขาดศีล สมาธิ ปัญญา ทั้งสามสิ่งนี้ไม่ได้เลย
2. ฝึกสติความรู้สึกตัวให้เป็นก่อน ให้รู้ว่า อย่างไรเรียกว่า เผลอ อย่างไร เรียกว่า เพ่ง อย่างไรเรียกว่า รู้สึกตัว สามอย่างนี้แตกต่างกันอย่างไร
3. ต้องมีวิหารธรรม หรือต้องมีเครื่องอยู่ให้กับจิต เช่น มีลมหายใจเป็นเครื่องอยู่ มีลมหายใจเป็นเครื่องให้สติระลึกรู้ เมื่อจิตเผลอออกจากลมหายใจ ให้รู้ทัน เมื่อจิตเพ่งลมหายใจ ให้รู้ทัน เมื่อจิตเกิด สุข ทุกข์ เฉยๆ ให้รู้ทัน เมื่อจิตเกิดโลภ โกรธ หลง ให้รู้ทัน ให้รู้ตามความเป็นจริงในสิ่งที่ปรากฎ ทั้งที่กาย และที่ใจ เป็นต้น
4. ฝึกแยกรูป-นาม เช่น เห็นกายก็ส่วนหนึ่ง ใจก็ส่วนหนึ่ง ลมหายใจเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ใจเป็นผู้รู้ลมหายใจ กายยืน เดิน นั่ง นอน เป็นสิ่งที่ถูกรู้ ใจเป็นผู้รู้กาย ยืน เดิน นั่ง นอน, ความสุข ทุกข์ เฉยๆ เป็นสิ่งที่ถูกรู้ ใจเป็นผู้รู้ สุข ทุกข์ เฉยๆ, โลภ โกรธ หลง ฟุ้ง สงบ เป็นสิ่งที่ถูกรู้ ใจเป็นผู้รู้ โลภ โกรธ หลง ฟุ้ง สงบ เป็นต้น
5. มีสัมมาสมาธิ คือ มีความตั้งมั่น ไม่หลงเผลอ ไม่หลงเพ่ง ไม่หลงบังคับ ไม่หลงแทรกแซง ดัดแปลงแก้ไข เพียงแค่รู้ โดยไม่หลงเข้าไปยินดี-ยินร้าย ในทุกๆสภาวธรรม ไม่ว่าสภาวธรรมนั้นๆ จะดี หรือไม่ดี มากน้อยแค่ไหนอย่างไรก็ตาม ให้รู้ด้วยใจที่เป็นกลางๆ ใจที่ไม่หลงรัก หลงชัง นั่นแหละ จึงจะเกื้อกูลให้ปัญญาเห็นสภาวธรรมตามความเป็นจริงได้
6. ฝึกสังเกตความไม่เที่ยง ความเป็นไตรลักษณ์ของสภาวธรรมที่กำลังปรากฎขึ้นตามที่มันเป็น คือ เห็นสภาวธรรมนั้น เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา (ไม่เที่ยง ไม่ทน ไม่ใช่ตัวตน บังคับไม่ได้) อันเป็นแนวทางการเจริญวิปัสสนาปัญญา ที่จะพาให้พ้นทุกข์ได้
7. ควรฝึกการเจริญสมถะ เพื่อให้จิตได้พักผ่อนบ้าง โดยฝึกให้สมาธิตั้งมั่นรู้อยู่ในอารมณ์เดียว และเป็นอารมณ์ที่ทำให้จิตมีความสุข เป็นอารมณ์ที่เป็นกุศล เช่น ลมหายใจเข้า-ออก คำบริกรรม พุทโธๆๆ เป็นต้น ถ้าอารมณ์ใดที่ทำให้จิตมีความสุข จิตก็พร้อมที่จะมารู้ในอารมณ์นั้นเนืองๆ หรือรู้ได้บ่อยๆ เมื่อจิตรู้อยู่กับอารมณ์นั้นได้บ่อยๆ จิตจะรวมเป็นหนึ่ง ทำให้จิตไม่คิดฟุ้งซ่าน เมื่อใดที่จิตไม่คิดฟุ้งซ่าน ความสงบก็จะปรากฎขึ้น นี่แหละคือ แนวทางในการเจริญสมถะ เพื่อทำให้จิตได้พักผ่อน ทำให้จิตได้รับความสงบ ทำให้จิตมีกำลัง ทำให้จิตมีเรี่ยวมีแรง อันเป็นประโยชน์ หรือเป็นบาทฐานเกื้อกูลในการเจริญวิปัสสนาต่อไป
8. การปฏิบัติธรรม ควรทำทั้งในรูปแบบ และในชีวิตประจำวัน การทำในรูปแบบ เช่น นั่งสมาธิ เดินจงกรม วันละอย่างน้อย 10-15 นาที ทุกวัน ฝึกในชีวิตประจำวัน ก็ให้หมั่นรู้สึกตัวบ่อย ๆจะยืน เดิน นั่ง กิน ดื่ม ขับถ่าย หรือมีสิ่งใดมากระทบทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ให้มีสติรู้ทันอาการที่ปรากฎนั้น พอใจ หรือไม่พอใจ ก็ให้รู้ทัน รู้เท่าที่พอจะรู้ได้ ไม่บังคับว่า จะต้องรู้ทุกขณะ เมื่อใดก็ตามที่มีความเพียร และมีวินัยในการฝึกทำประจำสม่ำเสมอ ย่อมทำให้เกิดความชำนิชำนาญเชี่ยวชาญในสิ่งนั้น ไม่ว่าจะทางโลก และทางธรรม ก็เช่นเดียวกัน
9. การปฏิบัติธรรม อย่าคาดหวัง อย่าหวังทางลัด อย่าเร่ง อย่าอยากให้บรรลุธรรมเร็วๆ เพราะเร่งไม่ได้ ยิ่งเร่ง ยิ่งอยาก ยิ่งยากที่จะเข้าถึงธรรม ให้วางใจว่า เราปฏิบัติธรรม เพื่อบูชาพระพุทธเจ้า ส่วนผลจะปรากฎเกิดขึ้นเมื่อใด ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่แต่ละท่านได้สั่งสมมา เมื่อใดที่สติเกิดขึ้นเองเป็นอัตโนมัติ สมาธิเป็นอัตโนมัติ ปัญญาเป็นอัตโนมัติ บุญบารมีที่สั่งสมครบถ้วนบริบูรณ์เต็มที่ ธรรมะย่อมปรากฏขึ้นเอง
10. จงอย่าปฏิบัติธรรมด้วย ตัณหา (ความอยาก) ทิฏฐิ (ความเห็นผิด) มานะ (ความถือตน สำคัญตน ทนงตน) จงปฏิบัติธรรมเพื่อลด เพื่อละ ตัณหา ทิฏฐิ มานะ จึงจะเป็นหนทางที่ถูกต้องตรงทาง
ลุงยุทธ...สะดุดคิด
ที่มา : Facebook ธีรยุทธ เวชเจริญยิ่ง
https://www.facebook.com/theerayuth.praft
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 22, 2020, 09:30:01 am โดย ยาใจ »
เข้าสู่ระบบ